YLG Bullion

ทองคำครึ่งปีหลัง จะ ดิ่ง! หรือ ดีด! ขึ้นอยู่กับ FED จะเดินเกมส์แข็งกร้าวเพียงไร

วันนี้เราจะมาดูประเด็นสำคัญ ที่จะต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำโดยตรง ก็คงเป็นเรื่องนโยบาบของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าใช้นโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวมากน้อยแค่ไหน

หลังจากที่เมื่อวานนี้ เราได้นำเสนอภาพรวมราคาทองคำ ทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2022 ไปแล้ว

วันนี้ เราจะมาดูประเด็นสำคัญ ที่จะต้องจับตาใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำโดยตรง ก็คงเป็นเรื่องนโยบาบของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าใช้นโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวมากน้อยแค่ไหน

เพราะหลังจากเฟดเริ่มคุมเข้มนโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุม เดือน มี.ค. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 50 bps ในเดือน พ.ค. และ อีก 75 bps เมื่อเดือนที่แล้ว สู่ระดับ 1.5-1.75% 

แต่การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าเฟดจะดำเนินการอย่างแข็งกร้าวมากขึ้นหรือน้อยลงหรือไม่ และอย่างไร

ซึ่งปัจจุบัน ตลาดกำลัง price in ความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ ทั้งนี้ จาก CME Fedwatch tool พบว่า

  1. มีโอกาส 80.8% เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 75 bps ใน เดือน ก.ค.
  2. มีโอกาส 73.4% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 50 bps ใน เดือน ก.ย.
  3. และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งละ 25 bps ในการประชุม เดือน พ.ย. และ ธ.ค. 
  4. หากเป็นเช่นนั้น จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของเฟด เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.25-3.50% ในภายในสิ้นปีนี้ 

ดังนั้น หากเฟดดำเนินการอย่างแข็งกร้าวต่อไป จะเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงต่อได้  กลับกัน หากมีปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดชะลอการคุมเข้มนโยบายการเงิน จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำได้อย่างมีนัยสำคัญ

คุณ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

ทั้งนี้ ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างแข็งกร้าวของเฟด นักลงทุนความกังวลว่าเศรษฐกิจจะเกิดภาวะถดถอย เริ่มก่อตัวขึ้นจากข้อมูลในอดีตนับตั้งแต่ปี 1946 ซึ่งเฟดมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 13 รอบ โดยที่ 10 ใน 13

คุณ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

รอบนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย (Hard Landing) ในเวลาต่อมา และ มีเพียง 3 รอบเท่านั้น ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ (Soft Landing)

ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs Group Inc. ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเตือนว่า ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะถดถอยกำลังเพิ่มสูงขึ้น

และทีมของ Goldman มองเห็นความเป็นไปได้ 30% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า โดยเพิ่มขึ้นจากความเป็นไปได้ 15% และ มีความเป็นไปได้ 25% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 2 ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปีหน้า

นั่นทำให้โอกาสที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจภายใน 2 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 35% สู่ระดับ 48% 

ขณะที่ ผลสำรวจล่าสุดของผู้เชี่ยวชาญใน Wall Street ที่จัดทำโดย Deutsche bank พบว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ภายในสิ้นปี 2023 เพิ่มขึ้น ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

โดย 88% ของผู้เชี่ยวชาญใน Wall Street คาดว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 2023 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 78% ในเดือนที่แล้ว

ขณะที่ 17% เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเริ่มต้นในปีนี้ แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 13% ในเดือนที่แล้ว และเพิ่มขึ้นจากระดับ 0% ในผลสำรวจเดือน ก.พ. และ ที่เหลือ 8% ที่คาดว่าจะไม่เกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจนถึงปี 2024 แต่สัดส่วนดังกล่าวถือว่าลดลงจากระดับ 45% ในผลสำรวจเดือน ก.พ.

แน่นอนว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง หรือ หากเลวร้ายถึงขนาดเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย  นั่นจะส่งผลให้เฟดต้องชะลอการคุมเข้มนโยบายการเงิน หรือ กลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงิน  ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำในที่สุด

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YLG กล่าว

ขอขอบคุณ YLG