photo by Anna Nekrashevich | pexels.com
photo by Anna Nekrashevich | pexels.com

มาดูประเด็นข่าวสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ทั้งในฝั่งของยุโรป และสหรัฐอเมริกา

ซึ่งในตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภค หรือ CPI ประจำเดือน มี.ค. ของอเมริกาที่จะประกาศในคืนวันพุธ ตลาดคาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 8.5% หลังจากที่ตัวเลขเดือน ก.พ. อยู่ที่ 7.9% ถือเป็นการเพิ่มครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี โดยเป็นผลพวงจากการสู้รบระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น

หากตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มี.ค. ออกมาตามที่ตลาดคาดการณ์ อาจจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุน เพราะนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ

ซึ่งในการประชุมเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เฟดได้ขึ้นปรับอัตราดอกเบี้ย 0.25 bp. และจากรายงานการประชุมที่ได้ประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุล น่าจะเพิ่มขึ้นในในการประชุมเดือน พ.ค. เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจ จะมีข้อมูลยอดขายปลีก และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ขณะที่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมและดัชนีการผลิตของ Empire state จะเปิดเผยในวันศุกร์ ซึ่งจะเป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงิน

นอกจากนั้น ยังต้องติดตามเจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายคน ที่จะออกมาให้สัมภาษณ์เกือบจะตลอดทั้งสัปดาห์ อาทิ ผู้ว่าการเฟด, ประธานเฟดแอตแลนต้า ,ประธานเฟดชิคาโก ,ประธานเฟดริชมอนด์ ,ประธานเฟดแห่งคลีฟแลนด์ และ ประธานเฟดฟิลาเดลเฟีย

ด้าน นายพิพัฒน์ วชิรลาภไพฑูรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเนอร์จี้ คอมโมดิตี้ส์ เทรด จำกัด หรือ SCT ระบุว่า

หากตัวเลข CPI ออกมาระดับ 8.4-8.5% เชื่อว่าจะกดดัน เฟด ในการกำหนดนโยบายการเงิน เพราะแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา จะเป็นตัวเร่งในการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ (คลิป)

เมื่อมองจากปัจจัยต่าง ๆ ในขณะนี้ ยังมองว่าเป็นผลดีต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ เพราะหากเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจจะทำให้ตลาดชะงักเพียงเล้กน้อย เพราะส่วนใหญ่จะรับข่าวไปหมดแล้ว แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น คืออาจจะขึ้นดอกเบี้ยไม่ถึง 0.5% หรือ ตลาดให้น้ำหนักไปที่ผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ย จะส่งผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ก็จะยิ่งทำให้ทองคำทะยานไกล อาจจะไปถึง 1,975 ดอลลาร์ ได้ ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานว่า ราคาทองคำจะต้องยืนเหนือ 1,950 ดอลลาร์ ให้ได้ มิฉะนั้นอาจจะเห็นภาพการลงไปพักฐานแถว 1,900 ดอลลาร์ หรือมากกว่านั้นก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมาใหม่

กรรมการผู้จัดการ SCT กล่าว

นอกจากนั้น จะมีอีกหนึ่งตัวเลขสำคัญที่จะเชื่อมโยงแบบอ้อม ๆ กับราคาทองคำ ก็คือ ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น JP Morgan ,Goldman Sachs, Morgan Stanley, Citigroup และ Wells Fargo จะเริ่มเปิดฤดูกาลผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์นี้

ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า รายรับจะลดลงจากปีที่แล้ว และรายได้ของธนาคารเพื่อการลงทุนกำลังได้รับผลกระทบหลังจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย โดยหากผลประกอบการออกมาไม่ดี ก็อาจจะดึงให้ดัชนีตลาดหุ้นลดลงด้วย

นอกจากนั้น ยังต้องจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของ ECB ในวันพฤหัส คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในเขตยูโรอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน

ทำให้ต้นทุนด้านพลังงานที่สูงขึ้น และทาง ปธ.ECB ได้ประกาศมาก่อนหน้านี้แล้วว่า จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย เพราะอาจจะส่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ต้องมาดูว่าเมื่อตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งสูงขนาดนี้แล้วจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือไม่