สมาคมค้าทองคำ วอนภาครัฐคุมเข้มโจรไซเบอร์ หลังพบแอบอ้างชื่อผู้ค้าฯ หลอกลวงลงทุนทองคำ ด้าน DES เตรียมร้องศาลปิด Facebook ในไทย

หลังจากที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ได้กล่าวหลังการประชุมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการซื้อโฆษณาผ่าน Facebook หลอกประชาชนลงทุน รวมถึงการชักชวนลงทุน โดยแอบอ้างใช้ชื่อบริษัทจดทะเบียน และชื่อแอบอ้างชื่อของ ก.ล.ต. หรือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พร้อมกันนั้น DES อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานจากผู้กระทำความผิดบนแพลตฟอร์ม Facebook เพื่อส่งศาลให้มีการปิด Facebook ภายในสิ้นเดือนนี้

และขอให้ศาลสั่งปิด Facebook ภายใน 7 วัน เนื่องจาก Facebook ได้รับโฆษณาจากผู้กระทำความผิดมิจฉาชีพในการลงโฆษณา

ที่ผ่านมามีผู้เสียหายจำนวนมากกว่า 200,000 ราย หรือประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์จาก 300,000 ราย มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 10,000 ล้านบาท

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวกับ GoldAround ว่า มิจฉาเหล่านี้มักแอบอ้างชื่อผู้ค้าทองคำที่มีชื่อเสียงและเป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำ สร้างความน่าเชื่อถือหลอกลวงผู้บริโภค

ซึ่งสมาคมฯ กำลังจะประชุมเพื่อหามาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเบื้องต้นจะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาช่วยกันดูแลพร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบและไม่ตกเป็นเหยื่อ

นอกจากนั้น อาจมีมาตรการในการรับรองบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินธุรกิจการลงทุนทองคำออนไลน์ โดยบริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนดไว้ ทางสมาคมฯ จะออกเอกสารรับรองและประกาศรายชื่อไว้ในเว็บไซด์ของสมาคมฯ ให้ประชาชนสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูล

นายจิตติฯ ยอมรับว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาไปมาก ทำให้กลุ่มคนร้ายได้พยายามหาวิธีการใหม่ ๆ มาหลอกลวงผู้บริโภค ซึ่งมองว่าในอนาคตก็คงจะมีปัญหามากขึ้นอีก หากประชาชนไม่มีการตรวจสอบที่ดีพอ ก็อาจจะถูกหลอกลวงได้

ล่าสุดมีการแอบอ้างบริษัทค้าทองคำชื่อดังของไทย เปิดให้ประชาชนเข้ามาซื้อหน่วยลงทุน ทั้ง ๆ ที่บริษัทดังกล่าวไม่ได้ดำเนินธุรกิจในลักษณะนั้น ทำให้มีประชาชนหลงเชื่อและสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก

“ทั้งนี้สมาคมฯ จะหนังสือเพื่อไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันหาแนวทางป้องกันอย่างจริงจัง เนื่องจากสมาคมฯ เป็นองค์กรภาคเอกชน ไม่มีอำนาจการควบคุมตามกฎหมายในการจัดการมิจฉาชีพ ทำได้แค่การป้องกันและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยสมาคมฯ จะให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างเต็มที่” นายจิตติฯ กล่าว

อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ก็จะต้องคุ้มครองผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจโดยสุจริตด้วย โดยอาจจะมีช่องทางให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบข้อมูล โดยอาจจะตรวจสอบจากทางเว็บไซต์ของสมาคมฯ www.goldtraders.or.th หรือโทรสอบถามมายังสมาคมฯ 0-2020-9000 เพื่อยืนยันความถูกต้องก่อนที่จะลงทุน

ขณะที่ นายธีรเดช สินธพเรืองชัย เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีหลายบริษัทที่ถูกนำชื่อไปหลอกลวงให้ประชาชนมาร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่เมื่อตรวจสอบไปยังบริษัทดังกล่าวพบว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งทางสมาคมฯ จะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงดีอีเอส หรือกระทรวงพานิชย์ ได้รับทราบ

ทั้งนี้ การลงทุนในลักษณะดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวกับธุรกิจค้าทองคำ ที่จะเป็นการขายทองคำผ่านทางหน้าร้านทอง หรือการขายทองคำผ่านทางออนไลน์ที่มีการส่งมอบทองจริงเท่านั้น

นายธีรเดชฯ กล่าวว่า รูปแบบส่วนใหญ่ของกลุมมิจฉาชีพ คือการให้ผลตอบแทนสูงมาชักจูง ทำให้เกิดความหลงเชื่อ โดยตอนแรกอาจจะได้ผลตอบแทนกลับมา เพื่อหลอกให้เติมเงินเพิ่มเติม แต่สุดท้ายก็ปิดบริษัทหนีไป

แนวทางการป้องกันในอนาคต ทางเว็บไซต์ของสมาคมฯ อาจจะมีการให้ข้อมูลเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบว่า บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจค้าทองคำอย่างถูกต้องหรือไม่ เป็นสมาชิกของสมาคมฯ หรือไม่ หรืออาจจะโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

“ในบางครั้งกลุ่มมิจฉาชีพ อาจจะแอบอ้างชื่อบริษัทค้าทองคำที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ แต่หากว่าพบพิรุธหรือมีความไม่แน่ใจ ก็ให้สอบถามสมาคมเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง โดยทางสมาคมฯ จะประสานไปยังบริษัทดังกล่าวโดยตรง เพื่อสอบถามข้อมูลว่าเรื่องดังกล่าวจริงเท็จอย่างไร” เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันโจรไซเบอร์มีกลวิธีต่าง ๆ ให้หลงเชื่อและโอนเงินออกจากบัญชี โดยมีการด้วปรับเพิ่มกลอุบายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การเทรดเหรียญดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์, การลงทุนเกี่ยวกับเหรียญคริปโต, ลงทุนหุ้นทอง, ลงทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศ, และลงทุนหุ้นในเครือบริษัทชื่อดัง

นอกจากนี้ โจรออนไลน์มักปลอมโปรไฟล์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเรื่องการเงินการลงทุน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการหลอกลวง และเข้าหาผู้เสียหายผ่านการแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มสังคมออนไลน์ของผู้ที่สนใจด้านการลงทุน

อย่างไรก็ตาม วิธีข้อสังเกตว่าข้อความการเชิญชวนลงทุนเหล่านั้น จะใช่มิจฉาชีพหรือไม่ มีรูปแบบดังนี้

1. ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ส่วนมากมิจฉาชีพมักจะมีการโฆษณาชักชวนโดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงเกินจริง โดยใช้เวลาลงทุนไม่นานและง่ายดาย เป็นอีกรูปแบบที่ทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นจำนวนมากเพราะคาดหวังในผลตอบแทนดังกล่าว เช่น เงินลงทุน 10,000 บาท ระยะเวลา 15 วัน จะได้รับกำไร 50%
2. การันตีผลตอบแทน โดยกำหนดเป็นตัวเลขที่แน่นอน เช่น 30% ต่อสัปดาห์ หรือการการันตีว่าจะได้รับผลตอบแทนแน่นอน หากลงทุนไม่เป็นก็มีผู้เชี่ยวชาญคอยลงทุนให้
3. อ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือมีการนำภาพของดารา ศิลปิน หรือนักธุรกิจชื่อดังต่าง ๆ มาแอบอ้างว่าบุคคลเหล่านั้นก็ร่วมลงทุนด้วยเช่นกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการลงทุน
4. ไม่สามารถตรวจสอบธุรกิจได้ หากมีการชักชวนให้ร่วมลงทุน แต่ไม่มีสินค้า ไม่มีแผนธุรกิจ หรืออ้างว่าแพลตฟอร์มอยู่ต่างประเทศ ทำให้ตรวจสอบข้อมูลการเงินไม่ได้ ก็เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นมิจฉาชีพได้
5. ให้รีบตัดสินใจลงทุน โดยมักจะเสนอสิทธิพิเศษเฉพาะช่วงเวลาเหล่านั้นให้ เช่น หากไม่ลงทุนตอนนี้ จะพลาดโอกาสที่ได้ผลตอบแทนดี ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เรารีบตัดสินใจลงทุน

ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสอบถาม หรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย หรือได้รับการแจ้งข้อมูลที่ผิดปกติผ่านเอสเอ็มเอสหรือทางโทรศัพท์ สามารถแจ้งได้ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และ โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 ตลอด 24 ชั่วโมง

อ่านเพิ่มเติมข้อมูลจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในประเด็นดังกล่าว antifakenewscenter.com

ตัวอย่างโพสหลอกลวงประชาชนในสื่ออนไลน์

ก.ล.ต.เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเทรดทองเริ่มต้น 1,999 บาท โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและได้กำไรร้อยละ 15-30 ต่อวัน หรือลงทุนผ่านบริษัท หรือบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่มีลักษณะข้อความเชิญชวนลงทุนมีผลกำไรสูง ให้ผลตอบแทนเป็นรายสัปดาห์