หมวดหมู่: ข่าวทองคำรอบโลก

ฺเว็บไซต์ GoldAround.com เป็นเว็บข่าวสาร ที่ให้การรายงานข่าวสารเกี่ยวกับราคาทองคำรอบโลกเป็นที่สำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจในตลาดการเงิน

บทความที่มีการรายงานข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งตลาดทองคำระดับโลกและปัจจัยที่มีผลต่อราคา เช่น ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่ส่งผลต่อราคาทองคำ และการวิเคราะห์ผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้น

ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง

บทความข่าวสารที่ครอบคลุมราคาทองคำรอบโลกยังควรพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับโลก เช่น การวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ ข่าวสารเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่อาจมีผลต่อตลาดทองคำ

การวิเคราะห์แนวโน้มและการทำนาย

บทความข่าวสารเกี่ยวกับราคาทองคำรอบโลกอาจมีการวิเคราะห์และการทำนายแนวโน้มของราคาทองคำในระยะยาวและระยะสั้น โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคและการวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่มีความสมบูรณ์และมั่นคง

การตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้

ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ บทความข่าวสารราคาทองคำรอบโลกควรเน้นการตรวจสอบและนำเสนอข้อมูลจากแหล่งที่มีความเชื่อถือได้ เช่น สำนักข่าวที่มีชื่อเสียง, หน่วยงานทางการเงิน, หรือนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดทองคำ

การให้คำแนะนำและความเข้าใจ

เพื่อให้ผู้อ่านมีความเข้าใจและสามารถใช้ข้อมูลในการตัดสินใจการลงทุนได้อย่างมั่นใจ บทความข่าวสารราคาทองคำควรให้คำแนะนำที่ไม่เป็นทางการแต่เป็นแนวทางในการตัดสินใจลงทุน และเน้นการเสนอข้อมูลที่ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับตลาดทองคำในมุมมองที่เป็นรูปแบบและมีประสิทธิภาพ

การรายงานข่าวสารราคาทองคำรอบโลกมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยให้นักลงทุนและผู้ที่สนใจในตลาดการเงินได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุม และควรนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการตัดสินใจการลงทุนของตนเองอย่างมั่นใจและอิสระ

goldbullion by GoldAround
goldbullion by GoldAround
  • ความต้องการทองคำของไทยเติบโตสุดในอาเซียนติดต่อกันสองไตรมาส

    ความต้องการทองคำของไทยเติบโตสุดในอาเซียนติดต่อกันสองไตรมาส

    ความต้องการทองคำผู้บริโภคไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียนติดต่อกันสองไตรมาส ด้านความต้องการทองคำทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มูลค่ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

    รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 จาก สภาทองคำโลก หรือ WGC (World Gold Council) ได้เผยว่าความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง

    โดยพุ่งสูงขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นปริมาณ 14.5 ตัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ขณะเดียวกันปริมาณความต้องการทั่วโลกก็ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีปริมาณความต้องการทองคำทั้งหมด จากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1,313 ตัน

    ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณความต้องการโดยรวมของไตรมาสที่ 3 ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และนับเป็นมูลค่าของความต้องการทองคำรวมสูงกว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการลงทุนที่แข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์

    ด้านความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนได้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 364 ตัน เนื่องจากทิศทางความต้องการในกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำได้เปลี่ยนไปซึ่งโดยส่วนหลักแล้วเกิดขึ้นจากนักลงทุนฝั่งตะวันตก กองทุน ETF ทองคำทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณทองคำขึ้นจำนวนรวม 95 ตัน ซึ่งถือเป็นไตรมาสแรกที่มีทิศทางเป็นบวกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 เป็นต้นมา

    แม้ว่าความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกได้ลดลง 9% แต่ความต้องการของประเทศไทยกลับสวนกับทิศทางในระดับโลกและเติบโตเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบปีก่อนหน้า

    โดยมีจำนวนอยู่ที่ 12.1 ตันสำหรับในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 และนับเป็นประเทศที่มีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสูงเป็นอันดับที่สองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกในปีนี้ยังคงอยู่ที่ระดับ 859 ตัน ซึ่งถือว่ายังคงเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีซึ่งอยู่ที่ปริมาณ 774 ตัน

    Shaokai-Fan-Head-of-Asia-Pacific-(ex-China)
    Shaokai-Fan-Head-of-Asia-Pacific-(ex-China)

    คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า

    “ความต้องการทองคำผู้บริโภคในประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการประกาศเริ่มโครงการ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ที่รอคอยกันมานาน ซึ่งได้รวมการแจกเงินรูปแบบของเงินสดที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รัฐบาลได้เริ่มดำเนินโครงการนี้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 ซึ่งอาจช่วยสนับสนุนความต้องการทองคำในไตรมาสที่ 4 ได้”

    คุณเซาไก กล่าวเสริมว่า “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความกังวลทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงการคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น ได้กระตุ้นความต้องการทองคำของนักลงทุนในประเทศในกลุ่มอาเซียนในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา โดยทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ต่างก็มีการเติบโตในระดับตัวเลขสองหลักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งความต้องการทองคำผู้บริโภคยังคงมีการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันถึงสองไตรมาส”

    ในส่วนของธนาคารกลาง ได้มีการซื้อทองคำชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามระดับความต้องการยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ปริมาณ 186 ตัน โดยยอดความต้องการทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีจนถึงปัจจุบันรวมกันอยู่ที่ระดับ 694 ตัน สอดคล้องกับระดับปริมาณในช่วงเดียวกันของปี 2565

    ราคาทองคำยังคงพุ่งสูงต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,474 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อระดับความต้องการทองคำเครื่องประดับทั่วโลก และทำให้การบริโภคทองคำเครื่องประดับลดลง 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าหากพิจารณาในแง่ของปริมาณทองคำ แต่หากมองในเชิงมูลค่ากลับพบว่ามีการเติบโต 13% สิ่งนี้อาจแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัฒฑ์ทองคำในปริมาณที่น้อยลง

    นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยีได้เติบโต 7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี AI ที่ยังคงสนับสนุนความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่อง

    ด้านอุปทานทองคำในไตรมาสนี้มีปริมาณรวมทั้งหมดสูงขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกิดจากการเติบโตของการผลิตทองคำเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น 6% และปริมาณการรีไซเคิลทองคำที่สูงขึ้น 11%

    คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า

    ไตรมาสที่ มีการลงทุนและกิจกรรมการซื้อขายนอกตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งได้ช่วยหนุนความต้องการทองคำทั่วโลกและผลักดันผลประกอบการของราคาทองคำ แม้ว่าราคาที่สูงขึ้นนี้ได้ทำให้ความต้องการในตลาดผู้บริโภคส่วนใหญ่ลดลง แต่การลดภาษีนำเข้าในอินเดียก็ได้ทำให้ความต้องการทองคำเครื่องประดับรวมถึงทองคำแท่งและเหรียญทองคำยังคงอยู่ในระดับสูงได้อย่างน่าทึ่ง ท่ามกลางสภาวะราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์

    ปัจจัยของ ‘ความกลัวว่าจะพลาดโอกาส ในหมู่นักลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้ปริมาณความต้องการทองคำสูงขึ้นในไตรมาสนี้ นักลงทุนได้แสดงความสนใจซื้อทองคำเนื่องจากแนวโน้มด้านราคา และสนับสนุนด้วยแนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้นักลงทุนยังได้มองบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองสหรัฐฯ และความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง

    ‎“ในอนาคตข้างหน้า เรามองว่าการเปลี่ยนแปลงในกระแสการลงทุนทองคำยังคงเป็นแนวโน้มที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไป ‎ซึ่งสิ่งนี้อาจช่วยรักษาปริมาณความต้องการทองคำและระดับราคาให้อยู่ในระดับสูง แต่ขณะเดียวกันเราก็ได้เห็นราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่มาแล้วมากกว่า 30 ครั้งในปี 2567 ซึ่งสภาวะนี้จะยังคงเป็นความท้าทายสำหรับผู้บริโภคต่อไป อย่างไรก็ดีโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราจะจับตามองเพราะอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทิศทางของทองคำได้”

    ที่มา: GOLD.org

  • ความต้องการทองคำในไทยโตสุดในอาเซียน พุ่งขึ้น 20% ในไตรมาส 2/67

    ความต้องการทองคำในไทยโตสุดในอาเซียน พุ่งขึ้น 20% ในไตรมาส 2/67

    สภาทองคำโลก ระบุ ความต้องการทองคำสำหรับผู้บริโภคในประเทศไทยมีการเติบโตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพุ่งขึ้นถึง 20% สู่ระดับ 9 ตัน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567

    ความต้องการทองคำทั่วโลกได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ หนุนราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น

    รายงานแนวโน้มความต้องการทองคำหรือ Gold Demand Trends จากสภาทองคำโลก ( World Gold Council ) ‎สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2567‎ ได้ระบุว่าความต้องการทองคำผู้บริโภค (Consumer Gold Demand) ของประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่จำนวน 9 ตัน

    ซึ่งถือเป็นการเติบโตคิดเป็น % ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับไตรมาส ด้านความต้องการทองคำทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าอยู่ที่จำนวน 1,258 ตัน และถือเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูล

    โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-counter หรือ OTC ) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดถึง 53% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมเป็นจำนวน 329 ตัน

    ความต้องการในภาคการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น รวมกับการซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง และกระแสการไหลออกของการลงทุนที่ช้าลงสำหรับกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำสำหรับนักลงทุน ได้ผลักดันให้ราคาทองคำในไตรมาสที่ 2 พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

    โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2,338 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,427 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในไตรมาสที่ 2 นี้

    ด้านธนาคารกลางและสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้เพิ่มการถือครองทองคำทั่วโลก 183 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ชะลอตัวลงหากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่คิดเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น 6% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา

    จากรายงานผลการ สำรวจด้านทองคำของธนาคารกลางโดยสภาทองคำโลก ได้ยืนยันว่า ผู้จัดการด้านทุนสำรองเชื่อว่าสัดส่วนการถือครองทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเกิดจากความต้องการที่จะปกป้องรักษาและกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ภายในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความซับซ้อน

    ความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนในระดับโลกนั้นยังคงแข็งแกร่ง โดยมีปริมาณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่ที่จำนวน 254 ตัน อย่างไรก็ตาม หากมองในรายละเอียดจะพบว่าแต่ละตลาดมีทิศทางที่แตกต่างกัน ในขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำสำหรับการลงทุนเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นจำนวน 7 ตัน

    เนื่องจากนักลงทุนได้ใช้ทองคำเพื่อรักษามูลค่าเงินทุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง แต่ระดับการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำทั่วโลกนั้นกลับลดลง 5% อยู่ที่จำนวน 261 ตัน สำหรับไตรมาสที่ 2 เนื่องจากความต้องการในเหรียญทองคำได้ลดลงอย่างมาก และแม้ว่าความต้องการทองคำสำหรับการลงทุนของร้านค้าปลีกในทวีปเอเชียจะแข็งแกร่ง

    แต่ก็ได้ถูกลดทอนโดยระดับความต้องการสุทธิที่ลดลงของภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือที่มีการเทขายทำกำไรเพิ่มขึ้นในบางตลาด

    ด้านกองทุน ETF ทองคำทั่วโลกของไตรมาสนี้ พบว่ากระแสการลงทุนมีทิศทางไหลออกเล็กน้อยเป็นจำนวน 7 ตัน ส่วนภูมิภาคเอเชียยังคงเติบอย่างโตต่อเนื่อง ด้าน ETF ทองคำในยุโรปซึ่งมีกระแสการลงทุนไหลออกจำนวนมากในเดือนเมษายน

    ปัจจุบันได้เปลี่ยนทิศทางเป็นการไหลเข้าในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมา ส่วนในภูมิภาคอเมริกาเหนือนั้นการไหลออกของการลงทุน ETF ได้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

    ราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสที่ 2  ได้ส่งผลให้ความต้องการเครื่องประดับลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 อย่างไรก็ตามความต้องการทองคำเครื่องประดับในประเทศไทยกลับเพิ่มขึ้น 12% จากปีที่ผ่านมาเป็นจำนวน 2 ตัน

    ขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียมีความต้องการลดลงในไตรมาสที่ 2 นี้ ภาพรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ความต้องการทั่วโลกยังคงแข็งแกร่งหากเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณความต้องการในไตรมาสที่ 1 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้

    นอกจากนี้ ความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเติบโต 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI ในภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา

    ยอดรวมของอุปทานทองคำเติบโตขึ้น 4% โดยสาเหตุหลักมาจากการผลิตทองคำของเหมืองแร่ที่เพิ่มขึ้น 929 ตัน ในขณะที่การรีไซเคิลทองคำได้เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ซึ่งถือเป็นปริมาณสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2555

    Shaokai Fan. Head of Asia Pacific (ex China) & Global Head of Central Banks World Gold Council
    Shaokai Fan. Head of Asia Pacific (ex China) & Global Head of Central Banks World Gold Council

    คุณเซาไก ฟาน ( Shaokai Fan ) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ทิศทางของประเทศไทยสวนทางกับแนวโน้มในระดับโลกสำหรับไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ แม้ว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ก็ตาม

    เราพบว่าความต้องการทองคำเครื่องประดับของไทยเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วอยู่ที่ระดับ 2 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคตอบสนองต่อการปรับตัวของราคาทองคำในช่วงกลางไตรมาส และใช้จังหวะนั้นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อก่อนที่ราคาจะกลับมาสู่ทิศทางขาขึ้นอีกครั้ง  

    ขณะที่การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำในประเทศไทยได้เติบโตอย่างน่าทึ่งและเพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นจำนวน 7 ตัน

    ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และการที่แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการลงทุนในทองคำได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มเหล่านี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของการลดความต้องการของทองคำแท่งและเหรียญในปัจจุบัน”

    คุณหลุยส์ สตรีท (Louise Street) นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโส ของสภาทองคำโลก กล่าวเสริมว่า “ราคาทองคำที่พุ่งสูงและทำลายสถิติจนกลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจในช่วงที่ผ่านมานั้น เกิดจากความต้องการที่แข็งแกร่งของธนาคารกลางและการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ที่สนับสนุนราคาทองคำ

    ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ภาคการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความต้องการทองคำอย่างต่อเนื่องทั้งจากสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ รวมถึงสำนักงานดูแลสินทรัพย์ครอบครัว เนื่องจากพวกเขาได้หันมาลงทุนทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอ

    ในทางกลับกัน ปริมาณความต้องการเครื่องประดับได้ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากราคาทองคำที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังได้ดึงดูดให้นักลงทุนรายย่อยบางส่วนขายทองคำเพื่อทำกำไร”‎

    ‎“เมื่อมองไปข้างหน้า คำถามคือ อะไรจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ทองคำยังคงมีความน่าสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ในกลยุทธ์การลงทุนต่อไป จากการคาดการณ์และการรอคอยมาเป็นระยะยาวนานว่าธนาคารกลางสหรัฐ ฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้  ทำให้กระแสการลงทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนจากตะวันตกหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง

    การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนในกลุ่มนี้อาจเปลี่ยนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของความต้องการทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 สำหรับประเทศอินเดียการลดภาษีนำเข้าที่ได้ประกาศไม่นานมานี้น่าจะสร้างเงื่อนไขเชิงบวกให้กับความต้องการทองคำ เนื่องจากราคาที่สูงได้ลดทอนการซื้อทองคำของผู้บริโภคก่อนหน้านี้”‎

    ‎“แม้ว่าอาจมีอุปสรรคที่เป็นแรงต้านต่อทองคำในอนาคต แต่ขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตลาดโลกซึ่งน่าจะสนับสนุนและเพิ่มระดับความต้องการของทองคำได้เช่นกัน”‎ 

    สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 (Gold Demand Trends Q2 2024 report) ซึ่งรวมถึงข้อมูลรายละเอียดจาก Metals Focus ได้ ที่นี่

    ขอบคุณข้อมูล : สภาทองคำโลก (World Gold Council)

  • การค้าทองคำในอินเดียและจีนชะลอตัว หลังราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

    การค้าทองคำในอินเดียและจีนชะลอตัว หลังราคาทองคำพุ่งไม่หยุด

    การค้าทองคำในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ได้ชะลอตัวลงหลังราคาทองคำยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

    โดยผู้ค้าทองคำในอินเดียได้เสนอส่วนลดราคาทองคำอีกเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา ราคาทองคำในอินเดียซื้อขายกันอยู่ที่ราว 72,600 รูปีต่อ 10 กรัม หลังจากทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74,442 รูปี ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

    โดยผู้ค้าจากกัลกัตตา กล่าวว่า ทุก ๆ ปีก่อนการประกาศงบประมาณใหม่ ผู้ค้าอัญมณีจะคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดภาษีที่อาจเกิดขึ้น และชะลอการเข้าซื้อ

    ซึ่งปีนี้ก็ไม่แตกต่างกัน โดยรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี มีแนวโน้มจะนำเสนองบประมาณใหม่ของอินเดียใน เดือน ก.ค. นี้

    นอกจากนั้น ผู้ค้าทองคำในอินเดีย ได้เสนอส่วนลดสูงสุดถึง 11 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาทองคำอย่างเป็นทางการภายในประเทศ ซึ่งรวมภาษีนำเข้า 15% และภาษีขาย 3% หลังได้เสนอลด 9 ดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    ธนาคารผู้ค้าและผู้นำเข้าทองคำในมุมไบ กล่าวว่า ราคาทองคำที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการในส่วนการค้าปลีกทองคำทั่วประเทศลดลง ประกอบกับเขตชนบท เกษตรกรกำลังยุ่งกับกิจกรรมการปลูกพืช เนื่องจากมีฝนตกมากขึ้น

    ไม่ใช่เพียงอินเดียที่ประสบปัญหา ทางประเทศจีน ที่เป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดก็ประสบปัญหาเช่นกัน

    โดยผู้ค้าทองคำและโลหะมีค่าจากอินพรูฟด์ (InProved) กล่าวว่า จากข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่า กิจกรรมการซื้อขายทองคำในจีนยังคงแสดงถึงความอ่อนแอของอุปสงค์ ทั้งด้านค้าปลีกและค้าส่ง เนื่องจากราคาที่สูงส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย

    โดยผู้ค้าทองคำได้คิดส่วนต่าง 11-24 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากราคาทองคำสปอตในสัปดาห์นี้ เมื่อเทียบกับ 12-23 ดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    อ้างอิงข้อมูล : RYT9.com

  • gold spot กลับมายืนเหนือ $2,000 หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่ม

    gold spot กลับมายืนเหนือ $2,000 หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพิ่ม

    ราคาทองคำ gold spot เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) พุ่งขึ้นแรงกว่า 40 ดอลลาร์ มาเคลื่อนไหวเหนือ 2,020 ดอลลาร์

    หลังที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดือน ธ.ค. มีมติให้คงดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50%

    ขณะที่ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย ครั้งละ 0.25% อย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 รวม 0.75% จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ในการประชุมเดือน ก.ย.
    พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 4 ครั้งในปี 2568 รวม 1.00%

    ส่วนในปี 2569 เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้ง รวม 0.75% ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยของเฟดลดลงสู่ช่วง 2.00-2.25% ซึ่งใกล้กับแนวโน้มดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.50%

    นอกจากนั้น เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปี 2566 ลงสู่ระดับ 3.2% จากเดิมที่ระดับ 3.7% และคาดว่าอยู่ที่ 2.4%, 2.2% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ

  • ราคาทองคำทุบสถิติโลก goldspot พุง $2,148 ทองไทย ขายออก 34,300

    ราคาทองคำทุบสถิติโลก goldspot พุง $2,148 ทองไทย ขายออก 34,300

    ราคาทองคำ spot เช้านี้ ดีดตัวแรงไปสร้าง all time high ใหม่ที่ $2,148.99 เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดตัวที่ระดับ $2,071 ร่วม $80

    โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ของนักลงทุนที่มองว่า เฟดอาจจะลดดอกเบี้ยในไตรมาสแรกปีหน้า โดยไม่สนคำพูดในคืนวันศุกร์ของประธานเฟดที่ว่ายังกังวลเงินเฟ้อ และเร็วเกินไปที่จะมองเรื่องการลดดอกเบื้ย

    อย่างไรก็ดี หลังจากที่ราคาได้ขึ้นไปแตะจุดสูงสุด ก็ปรับลดลงมาอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ (11.40 น.) ได้ลงมาต่ำกว่า 2090 ดอลลาร์ แล้ว ต้องมาติดตามว่าราคาจะลงมาพักฐาน ณ จุดใด

    ขณะที่ ราคาทองคำในประเทศ ได้สร้างสถิติใหม่ตลอดกาลเช่นกัน โดยราคาทองคำที่ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาแรกของวัน (4 ธ.ค.) ราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้นมา 200 บาท ทำให้ราคาขายออกอยู่ที่ 34,200 บาท ส่วนราคารับซื้อ 34,300 บาท คำนวนจากเงินบาท ที่ 34.81 บาท/ดอลลาร์ ส่วนราคาทองรูปพรรณ (4 ธ.ค.) ราคารับซื้อเข้าอยู่ที่ 33,579.40 บาท ราคาขายออกอยู่ที่ 34,800 บาท

  • โกลด์แมนแซคส์ ชี้เฟดยุติขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ด้านนักลงทุนคาดตรึงถึง มี.ค.67

    โกลด์แมนแซคส์ ชี้เฟดยุติขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ด้านนักลงทุนคาดตรึงถึง มี.ค.67

    ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พบว่าเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่ง

    ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 188,000 ตำแหน่ง

    ขณะที่ อัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% สูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8% ภายหลังการประกาศตัวเลขดังกล่าว หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ โกลด์แมนแซคส์ ระบุว่า

    ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค. ที่ต่ำกว่าคาด เป็นปัจจัยสนับสนุนมุมมองที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังการประชุมนโยบายการเงินเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแต่อย่างใด

    อย่างไรก็ดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ โกลด์แมนแซคส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ตัวเลขการจ้างงานจะตำกว่าที่คาด แต่ไม่ได้อ่อนแอจนสร้างความวิตก

    อย่างไรก็ตาม โกลด์แมนแซคส์ คาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 แต่ก็มีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาดังกล่าว หากเศรษฐกิจอ่อนแอลงอย่างมาก

    ขณะที่ FedWatch Tool ของ CME Group ล่าสุด นักลงทุน ให้น้ำหนัก 90.2% ว่า เฟด จะคงอัตราดอกเบี้ย ที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือน ธ.ค. ระหว่างวันที่ 12-13 ธ.ค. หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ต.ค. ที่ต่ำกว่าคาด

    นอกจากนี้ ยังคาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือน ม.ค. และ เดือน มี.ค. ของปี 2567 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน พ.ค. หลังจากก่อนหน้านี้คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.

  • กูรูเตือนทองพุ่งจากข่าวสงคราม แต่แรงกดดันจากดอลลาร์-บอนด์ยีลด์ยังอยู่

    กูรูเตือนทองพุ่งจากข่าวสงคราม แต่แรงกดดันจากดอลลาร์-บอนด์ยีลด์ยังอยู่

    กูรูส่งสัญญาณเตือนตลาดทองคำ หลังทะยานแรงจากภัยสงคราม ชี้แรงกดดันจากดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ยังอยู่

    ในขณะที่สงครามของอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยังคงทวีความรุนแรงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยหลังหนุนให้ราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง จ่อทดสอบระดับ 2,000 ดอลลาร์ แต่อุปสรรคของทองคำยังอยู่ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

    ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาทองคำ spot ได้พุ่งแรงแตะ 1,977 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนต้องการถือทองคำไว้ป้องกันความเสี่ยงในช่วงสุดสัปดาห์ หลังมีรายงานว่ากองทัพอิสราเอลอาจเปิดฉากโจมตีฉนวนกาซาอีกระลอก

    หากจะดูภาพรวมรายสัปดาห์ ราคาทองคำ spot ปรับเพิ่มขึ้น 2.51% เป็นการเพิ่มขึ้นแรง 2 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยสัปดาห์ก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้น 100 ดอลลาร์ หรือ 5.45%

    David Morrison นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ Trade Nation กล่าวว่า ทองคำกำลังทำสิ่งที่ควรทำในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ โดยได้ทะลุฝ่าแนวต้านสำคัญทั้งหมดที่ 1,900 ดอลลาร์ 1,950 ดอลลาร์ และ 1,980 ดอลลาร์ และเชื่อว่าจะขึ้นไปยืนเหนือ 2,000 ดอลลาร์ ได้

    ทั้งนี้ ทองคำไม่เพียงแต่จะฟื้นตัวอย่างน่าประทับใจในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่อิสราเอลบุกถล่มกลุ่มฮามาส แต่ทองคำยังได้แรงหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงจุดยืนว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้

    นาย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวที่ Economic Club of New York เมื่อวันพฤหัสบดีว่าธนาคารกลางมุ่งมั่นที่จะลดอัตราเงินเฟ้อลงเหลือ 2% ซึ่งหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวแตะ 5% สูงสุดในรอบ 16 ปี

    อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่า ความกังวลเรื่องหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นเช่นกัน

    ขณะที่ Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ที่ Saxo Bank กล่าวว่า นอกเหนือจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ทองคำยังกลายเป็นแหล่งหลบภัยทางเศรษฐกิจอีกด้วย

    โดยมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ค้าและนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการคลังของสหรัฐฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมระบุว่า คำพูดของประธานเฟดไม่ได้ทำให้ตลาดทองคำหวาดกลัว เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงเพิ่มสูงขึ้น

    อย่างไรก็ตาม Hansen ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในขณะกลุ่มนักลงทุนรายย่อยกำลังให้ความสนใจทองคำ แต่นักลงุทนกลุ่มสถาบันยังไม่ได้มาเข้าร่วมในตลาดทองคำอย่างเต็มตัว

    โดย ผู้จัดการสถาบันสินทรัพย์หลายแห่งที่ซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ยังคงมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น จึงยังไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับทองคำอย่างเต็มตัว

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนไม่มั่นใจว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำมีความยั่งยืน

    โดย Alex Kuptsikevich นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ FxPro ตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่ามีความยั่งยืน โดยมองว่า ขณะนี้ราคาทองคำได้เพิ่มขึ้นตามกระแสข่าวที่มีแนวโน้มว่าอาจจะผ่อนคลายเร็ว ๆ นี้

    แต่ขณะนี้ ทองคำเข้าใกล้โซนการซื้อมากเกินไป ทำให้เสี่ยงต่อการถูกเทขายภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูง และการแข็งค่าขึ้นเงินดอลลาร์

    ทั้งนี้ ในช่วงต้นความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่หลังจากนั้นราคาก็ปรับลดลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มต้นก่อนเกิดการต่อสู้

    ซึ่งแม้ว่าในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะยังคงจับตาดูความคืบหน้าของเหตุการณ์สู้รบระหว่าง อิสราเอลและกลุ่มฮามาส แต่ไม่ควรลืมรายงานตัวทางเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ที่อาจทำให้ราคาทองคำความผันผวนได้เช่นกัน โดยในวันพฤหัสสหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3 ประมาณการณ์ครั้งแรก

    โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัว เป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี นอกจากนั้น ในวันศุกร์จะมีตัวเลขเงินเฟ้อผู้บริโภค หรือ PCE ซึ่งเป็นมาตรวันที่เฟดให้ความสำคัญ

    ไม่เพียงแค่นั้น ตลาดยังรอดูนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก อาทิ ธนาคารแห่งแคนาดา และธนาคารกลางยุโรป ที่จะประกาศผลการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซึ่งยังไม่แน่ว่า จะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือจะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากความกังวลในเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจ

    ที่มา : Kitco.com

  • SPDR ยังอยู่ในโหมดเทขาย เฉพาะไตรมาส 3 ขายทองคำ 50.86 ตัน

    SPDR ยังอยู่ในโหมดเทขาย เฉพาะไตรมาส 3 ขายทองคำ 50.86 ตัน

    มาดูการเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) ยอดการซื้อขายทองคำของ กองทุน SPDR ติดลบ 50.86 ตัน

    โดย เดือน ก.ค. ติดลบ 11.57 ตัน เดือน ส.ค. ติดลบ 22.83 ตัน และ เดือน ก.ย. ติดลบ 16.46 ตัน

    หากจะมาดูรายละเอียด เฉพาะเดือน ก.ย. มีการซื้อขายทองคำ 16 ครั้ง ซื้อเข้าเพียง 5 ครั้ง บวกเพิ่ม 5.77 ตัน แต่ขายออก 11 ครั้ง รวม 22.05 ตัน แต่ปริมาณการซื้อเข้าและขายออกในแต่ละครั้งไม่สูงมาก

    ขณะที่ เปิดตลาดในไตรมาส 4 มาได้ 5 วัน กองทุน SPDR ขายทองคำออกไปแล้ว 3 ครั้ง รวมน้ำหนัก 7.5 ตัน ซื้อเข้า 1 ครั้ง 1.44 ตัน

    โดยเช้านี้ (6 ต.ค.) ได้ขายทองคำออกมาอีก 1.73 ตัน ทำให้เดือนนี้ติดลบไปแล้ว 6.06 ตัน

    และหากจะมองภาพรวมทั้งปี ยังติดลบอยู่ 50.06 ตัน โดยในช่วงครึ่งปีหลัง กองทุน SPDR ยังคงขายทองคำออกมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. จนมาถึงเดือน ต.ค. โดยยอดการซื้อขายทองคำติดลบประมาณ 70 ตัน

    ทำให้ขณะนี้กองทุน SPDR เหลือถือครองทองคำแค่ 867.58 ตัน ต่ำสุดนับตั้งแต่ เดือน ส.ค.2562

  • ราคาทองค้าปลีกญี่ปุ่นทะลุ 10,000 เยนต่อกรัมเป็นครั้งแรก เหตุเยนอ่อนค่า

    ราคาทองค้าปลีกญี่ปุ่นทะลุ 10,000 เยนต่อกรัมเป็นครั้งแรก เหตุเยนอ่อนค่า

    หลังจากที่ราคาทองคำ spot ได้กลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้น โดยเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) ได้ขึ้นมาทดสอบแนวต้านแถว 1,940 ดอลลาร์ ขณะที่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนของญี่ปุ่นคงอ่อนค่าต่อเนื่อง

    ทำให้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ราคาทองคำค้าปลีกในญี่ปุ่นได้พุ่งขึ้นแตะ 10,001 เยน หรือ 68.31 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อกรัม เป็นครั้งแรก โดยเพิ่มขึ้น 28 เยน จากวันก่อนหน้า ถือเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่

    ทั้งนี้ เทรดเดอร์โลหะมีค่าจากญี่ปุ่นระบุว่า ราคาทองคำที่ซื้อขายในสกุลเงินเยนปรับตัวขึ้นเนื่องจากเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

    ทั้งนี้ เงินเยนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากนักลงทุนได้หันไปซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ แทนเงินเยน ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จะขยับกว้างขึ้น หลังประธานเฟดส่งสัญญาณในการประชุมประจำปีของเฟดเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ส.ค. ว่าจะยังคงหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป เพื่อดึงเงินเฟ้อให้กลับมาที่เป้าหมายที่ระดับ 2%

    นอกจากนั้น ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำในญี่ปุ่นแพงขึ้น ก็เพราะราคาทองคำที่ซื้อขายในสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง สวนทางกับเงินเยนที่อ่อนค่าลง ซึ่งได้เป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำภายในประเทศญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้น

    ทั้งนี้ โกลด์แมน แซค คาดการณ์ว่าค่าเงินเยนจะลดลงเหลือ 155 ต่อดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งถือเป็นค่าเงินที่อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2533 หากว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ยังคงรักษาจุดยืนใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง

    อ้างอิงข้อมูล สำนักข่าวอินโฟเควสท์

  • แม้ goldspot จะฟื้นปิด $1,914 แต่สัปดาห์นี้ต้องฝ่าตัวเลขศก.ชุดใหญ่

    แม้ goldspot จะฟื้นปิด $1,914 แต่สัปดาห์นี้ต้องฝ่าตัวเลขศก.ชุดใหญ่

    หลังจากที่ราคาทองคำ spot ปิดปรับตัวลดลงมา 3-4 สัปดาห์ติดต่อกัน แต่ล่าสุดสามารถกลับมาปิดตลาดในแดนบวกได้ แต่นักวิเคราะห์มองว่า ราคาทองคำ spot กำลังหาแรงหนุนเพื่อผลักดันให้ออกจากแนวโน้มขาลง

    นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดทองคำติดอยู่ในโหมดเฝ้ารอดูข้อมูลเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นต่อไปอีกนาน เพื่อลดอัตราเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมาย 2% เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดียังคงสนับสนุนตลาดแรงงานที่ตึงตัว

    นักวิเคราะห์บางคนระบุว่า คำกล่าวของพาวเวลล์ฯ น่าเบื่อและไม่มีข้อมูลใหม่ ทำให้สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังคงซับซ้อนสำหรับตลาดทองคำ

    โดย Craig Erlam senior market analyst ของ OANDA กล่าวว่า โมเมนตั้มขาขึ้นของทองคำอาจถูกจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากคำพูดของประธานเฟด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แม้ว่าราคาทองคำจะยังยืนเหนือ 1,900 ดอลลาร์ แต่ยังไม่มีความมั่นคง เพราะตัวเลขเงินเฟ้อในปัจจุบันยังห่างไกลจากเป้าหมายของเฟด จึงทำให้เฟดยังต้องใช้ความพยายามที่จะดึงมันลงมา

    นอกจากนั้น ตลาดทองคำยังถูกกดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

    อย่างไรก็ดี Christopher Vecchio, head of futures and forex at Tastylive.com ชี้ให้เห็นแรงหนุนของทองคำ มาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของจีนที่เพิ่มขึ้น และภัยคุกคามจากภาวะเงินเฟ้อในยุโรป แต่ทั้งนี้ ตลาดยังไม่พร้อมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่จะยังคงเคลื่อนไหวเหนือ 1,900 ดอลลาร์ไปอีกระยะ

    นอกจากนั้น สัญญาณของความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกต่อไป

    ทั้งนี้ ต้องจับตารายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. ที่จะประกาศในวันศุกร์ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีตัวเลขสำคัญมากมายที่ต้องติดตามใกล้ชิด

    โดยวันอังคารจะมีตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ จาก CB และจำนวนตำแหน่งงานว่างของ JOLTS ขณะที่ วันพุธจะมี ตัวเลข GDP เบื้องต้นของไตรมาส 1 ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน และวันพฤหัสบดี มีตัวเลขดัชนี PCE และตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

    ที่มา : Kitco.com