ผู้เขียน: Anusorn Keawprachant

  • ทองคำยังพุ่งต่อ แนวต้าน 1,700 แนะขายทำกำไร หากผ่านลุ้นเป้า 1,800

    ทองคำยังพุ่งต่อ แนวต้าน 1,700 แนะขายทำกำไร หากผ่านลุ้นเป้า 1,800

    ราคาทองคำวันนี้ยังพุ่งต่อ วายแอลจี ชี้หากผ่านระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,500 บาท ไปได้ ให้ขายบางส่วนทำไร พร้อมมองเป้าหมายต่อไป 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนจะปรับตัวสูงไปแตะ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังเป็นเรื่องที่ห่างไกล

    นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG กล่าวกับเว็บไซต์ GoldAround.com ว่า

    หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ผ่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,635 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาได้ เมื่อเช้านี้ (24 ก.พ.) ราคาทองคำก็ได้ขึ้นไปทดสอบใกล้ระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นแนวต้านสำคัญแต่ไม่ผ่าน ถูกเทขายลงมาอยู่ที่ระดับ 1,680 ดอลลาร์สหรัฐออนซ์ และคาดว่าตลอดทั้งวันจะมีการทดสอบที่ระดับแนวต้านนี้หลายรอบ

    นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนฟิวเจอร์ส จำกัด

    อย่างไรก็ดีหากผ่านระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปได้ แนะนำให้นักลงทุนขายบางส่วนออกมาทำกำไร พร้อมมองเป้าหมายสำคัญต่อไปคือที่ระดับ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนแนวรับสำคัญวันนี้อยู่ที่ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

    นางสาวฐิภาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าส่วนของนักลงทุนที่จะเข้าซื้อ มองว่าระดับราคา ณ ปัจจุบันถือว่าสูงและมีความเสี่ยง แม้ว่าในระยะสั้นนี้ราคาจะยังอยู่ในช่วงที่ปรับตัวขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ อยากให้ทยอยซื้อ และให้เปิดสถานะชอร์ทไว้ โดยตั้ง stop loss ไว้ที่ระดับ 1,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากเกรงว่าจะมีการเทขายทำกำไร และจะทำให้ราคาลงแรง ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กองทุน SPDR ได้ซื้อทองคำเก็บเข้าพอร์ทไปแล้วกว่า 40 ตัน และราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 15 เปอร์เซ็นต์

    สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น คือเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด 19 ซึ่งขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและหลายประเทศก็มีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่ประเทศเกาหลี

    นอกจากนั้นหลายประเทศยังคงมีมาตรการออกมาบังคับใช้ ไม่วาจะเป็นเรื่องของการปิดเส้นทางการเดินทาง หรือการห้ามบุคคลในบางประเทศเดินทางเข้าประเทศของตน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นหลายฝ่ายมองว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั่วโลก ขณะที่แนวทางการรักษาก็ยังไม่ชัดเจน จึงทำให้ปัญหานี้ยังคงเป็นเรื่องหลักที่ทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น

    นอกจากนั้นยังมีเรื่องของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลในหลายประเทศๆได้ลดต่ำลง ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา จีน หรือรัสเซีย ทำให้มีการเทขายออกมาและหันไปซื้อทองคำเก็บไว้แทนในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ค่าเงินบาทก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ซึ่งปัจจัยนี้ได้ส่งผลต่อราคาทองคำในประเทศโดยตรง

    ขณะนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนักทั่วโลกได้มองไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาทองคำจะพุ่งไปแตะ ที่ ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ตนมองว่ายังเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป แต่ขณะนี้อยากให้มองความเป็นจริงที่ระดับราคา 1,700 – 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ไว้จะดีกว่า

    ขอขอบคุณ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

  • ซิตี้กรุ๊ป ฟันธงราคาทองพุ่งเหนือ $2,000 ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า

    ซิตี้กรุ๊ป ฟันธงราคาทองพุ่งเหนือ $2,000 ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า

    21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 01:13 น. — สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

    ซิตี้กรุ๊ปประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาทองในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า สู่ระดับ 1,700 ดอลลาร์/ออนซ์

    นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ปยังคาดว่าราคาทองจะพุ่งสูงกว่าระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า

    ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ปัจจัยหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.

    ส่วนยูบีเอสระบุว่า ในระยะสั้น ราคาทองจะพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาทองจะดีดตัวทะลุแนว 1,650 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

    “ขณะนี้ทองกำลังแสดงคุณภาพในการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และเราขอแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อทอง” ยูบีเอสระบุ

    อย่างไรก็ดี ยูบีเอสเตือนว่าช่วงขาขึ้นของราคาทองอาจถูกจำกัด หากประเทศต่างๆสามารถสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในไตรมาสแรก

    ทางด้านบีสโปค อินเวสเมนท์ กรุ๊ประบุว่า การที่ราคาทองสามารถทะยานขึ้นเหนือระดับ 1,600 ดอลลาร์ถือเป็นการพุ่งทะลุแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ทองดีดตัวขึ้นต่อไป

    นอกจากนี้ บีสโปคเปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองในรอบนี้มาพร้อมกับการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการอ่อนค่าของดอลลาร์ไม่ใช่สาเหตุผลักดันราคาทองในครั้งนี้

    – อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

  • ทองคำยังสดใสหลัง ศก.ทั่วโลกยังไม่ฟื้น

    ทองคำยังสดใสหลัง ศก.ทั่วโลกยังไม่ฟื้น

    ที่มา : KITCO.com

    แนะผู้ลงทุนทองคำควรให้ความสนใจกับสิ่งที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังทำอยู่ มากกว่าการ พยายามวัดผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก coronavirus

    Kitco News: Rhona O’Connell หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ตลาดสำหรับภูมิภาค EMEA และเอเชีย INTL FCStone กล่าวว่า รัฐบาลหลายประเทศได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจาก coronavirus ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าที่จะสามารถควบคุมไวรัสตัวนี้ได้ พร้อมหาแนวทางที่จะลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในภาค อุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะมาตกรทางด้านการเงิน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลบวกต่อทองคำในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง


    มาดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ถูกเทขายไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากความกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก coronavirus ขณะที่ตลาด ทองคำ ก็เริ่มเห็นแรงเทขายทำกำไรออกมาบางส่วน แต่ยังสามารถรักษาระดับแนวรับที่ 1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไว้ได้ และเข้าซื้อที่ระดับเหนือ 1,560 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์


    ส่วนตลาดการเงินได้รับความสนใจเป็นอย่างมากนับตั้งแต่ที่จีนมีสัญญาณการบรรเทาปัญหาในเรื่องต่างๆ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาธนาคารประชาชนจีน (PBoC) ยังคงอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง


    อย่างไรก็ดี Rhona O’Connell มองว่า การเคลื่อนไหวของตลาดเหล่านี้เป็นเพียงภาวะในระยะสั้น แต่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือนโยบายของธนาคารกลางจากทั่วโลกที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อไปเมื่อต้องรับมือกับผลกระทบที่เกิดจาก coronavirus มากกว่า ซึ่งรัฐบาลในเอเชียเริ่มมองการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยแล้ว


    ที่ผ่านมาธนาคารกลางประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.0% โดยให้เหตุผลว่าธุรกิจจำนวนมากจะได้รับผลกระทบจาก coronavirus รวมถึงภัยแล้งและความล่าช้าในการผ่านงบประมาณประจำปี ขณะที่ธนาคารกลางของฟิลิปปินส์ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ลงเช่นกัน


    เช่นเดียวกับธนาคารกลางออสเตรเลียก็อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ หลังได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ป่าครั้งใหญ่ และ corona virus ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลง ได้แก่ ไอซ์แลนด์และบาห์เรน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นอยู่ในแดนลบอยู่แล้ว

  • ทองคำปิดบวก หลังหลายประเทศเตรียมลดดอกเบี้ย

    ทองคำปิดบวก หลังหลายประเทศเตรียมลดดอกเบี้ย

    AUSIRIS GOLD : เมื่อวานนี้ (6 ก.พ.)

    ราคาทองคำปรับตัวขึ้น 12 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,566 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังมีกระแสข่าวว่า ธนาคารกลางในหลายประเทศอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อรับมือกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

    อย่างไรก็ดีการที่ค่าเงินดอลลาร์ได้เพิ่มขึ้น 0.20 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ระดับ 98.49 ซึ่งได้เข้ามาสกัดแรงบวกของตลาดทองคำในระหว่างวัน

    เมื่อวานนี้( 6 ก.พ.) จุดสูงสุดของราคาทองคำอยู่ที่ 1,568 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,552 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

    ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำที่ 912.58 ตัน ส่วนค่าเงินบาท อยู่ที่ 31.19 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.17 เปอร์เซ็นต์

    ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ แนะนำเข้าซื้อที่ 1558 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือที่ 22970 บาท ขายที่ 1576 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือที่ 23150 บาท จุดขายเฉลี่ย ที่ 1588 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 23300 บาท

  • ไวรัสโคโรนา-พ.ร.บ.งบฯ พ่นพิษ กนง.ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1

    ไวรัสโคโรนา-พ.ร.บ.งบฯ พ่นพิษ กนง.ลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 1

    ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมือวันที่ 5 ก.พ.2563 มีมติ เป็นเอกฉันท์ ให้ลดอัตรา ดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.25 เป็น ร้อยละ 1.00 ต่อปี โดย ให้มีผลทันที เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มี แนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าประมาณการเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ ธุรกิจและการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก

    ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ มีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมาย จากแนวโน้มการชะลอตัวของ เศรษฐกิจ ในสถานการณ์เช่นนี้ คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพิ่มขึ้น จะช่วยลด ผลกระทบจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น รวมทั้งสนับสนุนสภาพคล่อง และ การปรับปรุง โครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผล กระทบจากการ ชะลอตัวของเศรษฐกิจจึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

    สำหรับภาวะการเงินที่ผ่านมาอยู่ในระดับผ่อนคลาย โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง สภาพคล่องในระบบ การเงินอยู่ในระดับสูง แต่สินเชื่อภาคธุรกิจมีแนวโน้มชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจ

    ด้านอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง แต่ยังไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย และมีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้คณะกรรมการฯ จะติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด รวมถึงติดตามผลของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์กำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินเพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออก และสนับสนุนให้ ธปท. ดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องร่วมกับภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

    ทั้งนี้คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตรา เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี และภัยแล้ง เพื่อ ประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือ เชิงนโยบายอย่าง เหมาะสม รวมทั้งจะติดตามปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับความสามารถ ในการแข่งขัน และแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง จากทุกภาคส่วน