ในปี 2563 ราคาทองคำสามารถเปลี่ยนให้นักลงทุนรวยช่วงข้ามปี เนื่องจากราคาทองคำอย่าง Gold Spot ,Gold Online Futures ,Gold Futures และราคาทองคำสมาคม ปรับขึ้นอย่างน้อยสุด 23% ตามตารางด้านล่าง

สาเหตุหลักที่ส่งราคาทองคำขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ใหม่เกิดจากโควิด-19 โดยการระบาดของโควิด-19 ไม่ได้ทำให้ราคาทองคำขึ้นโดยตรง แต่การระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงการล็อกดาวน์กระทบต่อการค้าโลกในเชิงลบ ทั้งนี้ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจในปี 2563 อย่างสหรัฐฯ และยุโรป มี GDP ชะลอตัวแรง สร้างความวิตกกังวลแก่นักลงทุนดันให้นักลงทุนทิ้งสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น และเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการระบาดโควิด-19 กระทบต่อชีวิตประชาชนทั่วโลกกดดันรัฐบาลแต่ละประเทศประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และหนี้สินทั่วโลกจะพุ่งแตะ 277 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
สรุปที่ราคาทองคำเพิ่มขึ้นในปี 2563 เพราะความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นนั่นเอง

โดยปี 2563 ราคาทองคำผันผวนอย่างมาก และสร้างบทเรียนที่สำคัญให้แก่นักลงทุน ซึ่งเราได้ถอดบทเรียนดังกล่าว โดยการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำในปีนี้ ด้วยการนำสถิติปัจจัยที่มีผลต่อราคา Gold Spot รายวัน ที่เปลี่ยนแปลงเกิน 1% ในปี 63 (ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31ธ.ค. 63) เกิดขึ้น 77 ครั้ง แบ่งเป็น 4 หัวข้อใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อ Gold Spot

ปัจจัยทำให้ราคาทองคำเปลี่ยนแปลงเกิน 1% บ่อยที่สุดได้แก่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเกิดขึ้น 33 ครั้ง อย่างการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ,จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ,ยุโรป ,อังกฤษ ,ญี่ปุ่น นโยบายการเงิน FOMC,ECB,BOE,BOJ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ
รองลงมาเป็นปัจจัยจากโควิด-19 ทำให้ราคาทองคำเปลี่ยนแปลงเกิน 1% ถึง 20 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการระบาดโควิด-19 หรือวัคซีนต้านโควิด-19
ปัจจัยกระทบราคาทองคำอันดับที่ 3 สร้างการเปลี่ยนแปลงทองคำเกิน 1% ได้ถึง 15 ครั้ง อย่างการซื้อขายของกองทุน SPDR และการซื้อขายของธนาคารกลางนานาประเทศ นับตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 30 ก.ย. 2563 ธนาคารกลางของนานาประเทศมีการซื้อขายทองคำดังนี้

ปัจจัยสุดท้ายที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเกิน 1% ของราคาทองคำ 9 ครั้ง คือ การเมืองระหว่างประเทศ ที่เกิดขึ้นในปี 2563 ได้แก่ ความสัมพันธ์สหรัฐฯกับอิหร่าน และความสัมพันธ์สหรัฐฯกับจีน
ขณะที่ประเด็นกระทบราคาทองคำในปี 2564 มีดังนี้

1.โควิด-19 ใน 2 มิติ ได้แก่ 1.โควิด-19 กลายพันธุ์ และยาต้านโควิด-19 2.การระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทยกดดันเศรษฐกิจไทย
มิติแรกโควิด-19 กลายพันธุ์(ณ 31. ธ.ค. 2563)
โควิด-19 มี 7 สายพันธุ์ โดยโควิด-19 สามชนิดที่โลกกำลังจับตามองโควิด-19 จากอังกฤษ แอฟริกาใต้ และไนจีเรีย
โควิด-19 กลายพันธุ์อังกฤษ “VOC-202012/01” หรือ “B.1.1.7”
เป็นการกลายพันธุ์บางส่วนถูกตรวจพบครั้งแรกตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็วช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า โควิด-19 พันธุ์กลาย B.1.1.7 นี้ทำให้มีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยไวรัสสามารถเกาะที่เซลล์ของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น
โควิด-19 กลายพันธุ์แอฟริกาใต้ “501.V2”
จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า โควิด-19 กลายพันธุ์ตัวนี้ทำให้มนุษย์ติดเชื้อง่ายขึ้น โดยสามารถจู่โจมคนที่มีสุขภาพไม่ดีได้ง่ายขึ้น และบางรายแสดงอาการเจ็บป่วยรุนแรงขึ้น
โควิด-19 กลายพันธุ์ไนจีเรีย “P681H”
อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลของโควิด-19 กลายพันธุ์ตัวดังกล่าว ยังคงมีข้อมูลที่จำกัด แต่พบการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง 501 คล้ายตัวพันธุ์กลายแอฟริกาใต้ แต่มีศักยภาพในการกระจายเชื้อต่ำกว่า

สิ่งที่เรากำลังจะสื่อ คือ โควิด-19 กำลังพัฒนาตัวไปเรื่อยๆ เพื่อทำให้โควิด-19 มีชีวิตรอดต่อไป และโควิด-19 มีความเสี่ยงกลายพันธุ์ให้แกร่งกว่า ร้ายกว่า น่ากลัวกว่าเดิมได้ หรือสามารถเอาชนะยาต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ในตอนนี้
จากการวิเคราะห์ผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อราคาทองคำ 2 ทาง
– หากแนวโน้มการกลายพันธุ์โควิด-19 ร้ายกว่า น่ากลัวกว่าเดิม หรือสามารถเอาชนะยาต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ในตอนนี้ เป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก และส่งให้ราคาทองคำปรับขึ้นได้อีกมาก
– หากแนวโน้มการระบาดเริ่มลดลง และยาต้านสามารถใช้ได้มีประสิทธิภาพ แก้ไขวิกฤตโควิด-19 ได้สำเร็จ มีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และส่งให้นักลงทุน หันหน้าเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นมากขึ้น
มิติที่สองการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทยกดดันเศรษฐกิจไทย
ภาคเศรษฐกิจที่โดนผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด คือ ภาคการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าในปี 2562 มากกว่า 16% ของ GDP ไทยปี 2562(โดย GDP62 16.8 ล้านล้านบาท ) นับเป็นมูลค่า 2.7 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10% ของ GDP มูลค่า 1.68790 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศ 6% ของ GDP มูลค่า 1.01274 ล้านล้านบาท
ยังไม่นับรวมการจ้างงานจากภาคการท่องเที่ยวที่กำลังจะหายไปในระยะสั้น กดดันให้แนวโน้มภาคการท่องเที่ยวหดตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติหาย แต่ยังดีที่ภาคการผลิตมีแนวโน้มขยายตัวการส่งออกขยายตัว กระทบต่อความต้องการค่าเงินบาทอาจเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าที่ควร เพราะการส่งออกขยายตัวได้เงินเป็นดอลลาร์และแลกเป็นเงินบาทมากกว่า แต่ความต้องการค่าเงินบาทที่เกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป

ทั้งนี้ การแข็งหรืออ่อนค่าของเงินบาททุกๆ 10 สตางค์ จะกระทบต่อมูลค่าทองคำไทยประมาณ 60-80 บาทต่อ 1 บาททองคำ
2.การถดถอยของเศรษฐกิจ และหนี้ที่กำลังท่วม
หลังจากเจอโควิด-19 ระบาดรอบแรก ทำให้นานาประเทศต้องงัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจถดถอย และส่วนใหญ่เงินที่นำมากระตุ้นเศรษฐกิจนั้นมาจากการกู้ในหลายรูปแบบ
และเราได้เห็นแล้วว่านานาประเทศมีความเสี่ยงเกิดโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ทำให้ต้องใช้ไม้ตายก้นหีบอย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ซึ่งเงินที่นำมาให้ต้องกู้ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดิม ที่แย่คือทุกครั้งที่เกิดการระบาดโควิด-19 จะเร่งการถดถอยของเศรษฐกิจประเทศที่เกิดการระบาด และการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ส่งให้ราคาทองคำในประเทศต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น
3.นโยบายทางเศรษฐกิจและด้านต่างประเทศของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46
ด้านเศรษฐกิจ
- Buy American งบประมาณลงทุนกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
– โดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 5G และเทคโนโลยี AI 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
– งบประมาณสำหรับรัฐบาลกลางในการซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทอเมริกัน 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน งบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และช่วยกระตุ้นการจ้างงานสหรัฐฯ
- ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น 28% จากเดิม 21%
- ขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็น 39.6% จากเดิม 37%
ด้านต่างประเทศ
- สร้างความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตร
- ไม่สนับสนุนการขึ้นภาษีสินค้าจีน
- เดินหน้าความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(CPTPP )
สรุปนโยบายโดยรวมของโจ ไบเดน มีแนวทางทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายรูปแบบ ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้น

4.การใช้นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯในปี 2564
มองว่าไม่น่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯมีเงื่อนไขในการขึ้นดอกเบี้ย 3 อย่างได้แก่
1.การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯต้องลดลง
2.อัตราการว่างงานในสหรัฐฯต้องกลับมาอยู่ที่ก่อนที่เกิดโควิด-19 ก็คือ 3.5%
3.อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยต่อปีของสหรัฐฯต้องมากกว่า 2%
จาก 3 เงื่อนไขดังกล่าวอย่าง การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นแสนรายต่อวัน ส่วนอัตราการว่างงานในสหรัฐฯในเดือน ต.ค. ปี 63 แตะ 6.9% และสุดท้ายอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค. อยู่ที่ 1.18% เท่านั้น ทำให้ปิดโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2564 จึงไม่ส่งผลลบต่อราคาทองคำ แต่กลับกันธนาคารกลางสหรัฐฯมีโอกาสเพิ่มนโยบายทางการเงินที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เนื่องจากต้องกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากจบการระบาดของโควิด-19 มีโอกาสเห็นดอลลาร์อ่อนค่า ส่งให้ผลบวกต่อราคาทองคำ
5.การค้าระหว่างสหรัฐ-จีน
ในช่วงเวลาของโจ ไบเดน ที่จะขึ้นมาแทนทรัมป์ และรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ในวันที่ 20 มกราคม 2564 ในก่อนที่จะได้โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ผู้คนต่างคาดการณ์ว่า โจ ไบเดน จะลดความร้อนแรงในประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทรัมป์สร้างขึ้น แต่ทิศทางคงไม่เป็นอย่างที่คาดไว้หลัง โจ ไบเดน ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่าจะไม่ยกเลิกกำแพงภาษี 25% ของทรัมป์ และไม่ล้มเลิกข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ลงนามกับจีน และเป้าหมายของไบเดน คือการดำเนินนโยบายการค้าที่มุ่งลดแนวทางปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมของจีน ได้แก่ การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา การทุ่มตลาด ตลอดจนการที่รัฐให้ความช่วยเหลือธุรกิจอย่างผิดกฎหมาย และการบังคับบริษัทอเมริกันถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทจีน เรียกได้ว่ามุมมองต่อจีนของ โจ ไบเดน ไม่ได้ต่างจากทรัมป์
การคงอยู่ของข้อตกลงการค้าเฟส 1 ที่ลงนามระหว่างสหรัฐฯกับจีน เป็นสิ่งที่ชะลอการพื้นตัวการค้าโลกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อีกด้วย ทำให้เศรษฐกิจโลกยังน่าเป็นห่วง แต่ปัจจัยดังกล่าวเป็นบวกต่อราคาทองคำ

6.ข้อตกลงการค้าจีน-EU
โดยจีน-EU บรรลุข้อตกลงด้านการลงทุน หลังเจรจายืดเยื้อ 7 ปี โดยตัวเร่งที่ทำให้จีน-EU บรรลุข้อตกลง คือ ทรัมป์ที่ใช้มาตรการกำแพงภาษีกับนานาประเทศ
ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะคุ้มครองเอกชนของยุโรปในด้านต่างๆ ได้แก่ ทรัพย์สินทางปัญญา การลงทุน ฯลฯ และหากผลบังคับใช้
EU ได้ประโยชน์
- โดยภาคเอกชนยุโรปจะสามารถเข้ามาซื้อกิจการในจีนได้ สามารถแข่งขันกับเอกชนจีนได้อย่างเสรีในหลากหลายอุตสาหกรรมอย่าง เครื่องมือทางการแพทย์ ,รถยนต์ ,พลังงานสะอาด ,เคมีภัณฑ์ ,เทคโนโลยีการขนส่ง รวมถึงเอกชนของยุโรปเองไม่ต้องโดนข้อบังคับในการถ่ายทอดเทคโนโลยี ข้อมูลความลับทางธุรกิจอีกต่อไป
- จีนจะยอมรับข้อตกลงที่สหภาพยุโรปที่รัฐวิสาหกิจของจีนจะต้องไม่เอาเปรียบบริษัทเอกชนของยุโรป เช่น กรณีของรัฐวิสาหกิจจีนซื้อสินค้าจากบริษัทเอกชนจีนแต่อย่างเดียวนั้นจะทำไม่ได้หลังจากนี้ แต่ต้องมีความโปร่งใสในการซื้อสินค้าและบริการ
ส่วนจีนได้ประโยชน์
- จะได้เงินทุนจากยุโรป และการจ้างงาน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของ GDP ที่ใกล้จะนำสหรัฐฯ และเหตุที่จีนต้องยอมตกลง เพราะจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯจึงทำให้ต้องหันมาญาติดีกับ EU อีกครั้ง
และราคาทองคำจะได้ประโยชน์กับข้อตกลงดังกล่าวอย่างไร ตอบง่ายๆ คือ การได้ข้อตกลงการลงทุนระหว่างจีน-EUทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจทั้งจีน และ EU มีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งให้ค่าเงินยูโรมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้น กดดันค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่า ส่งให้ราคาทองคำในระยะสั้น และระยะกลางปรับขึ้น
7.ข้อตกลง Brexit
จบการเจรจา Brexit โดยอังกฤษและ EU สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกัน
โดยรัฐสภาอังกฤษจำเป็นต้องให้สัตยาบันต่อข้อตกลงดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ ก่อนข้อตกลงจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2564
และ EU จะกำหนดให้ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ชั่วคราวไปจนกว่าที่รัฐสภายุโรปจะลงมติในปี 2564 ถึงจะเสร็จสิ้น
ซึ่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรและปอนด์แข็งค่า และกดให้ดอลลาร์อ่อนค่าระยะสั้น เป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
และมุมมองการลงทุนทองคำในปี 2564
Gold Spot
Sideway Up กรอบ 1,700 – 2,130 เหรียญ

ราคาทองสมาคม
Sideway Up กรอบ 24,200 – 32,150 บาท

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
– Aspen
– Investing.com
– Forexfactory.com
– Bloomberg

— นักวิเคราะห์ด้านการลงทุนปัจจัยพื้นฐานสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด