- Advertisement -

หลังจากที่เราได้เห็นภาพรวมการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ รวมถึงประเด็นหลักที่จะต้องจับตา ในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ไปแล้ว

วันนี้ เราจะมาดูกลยุทธ์การลงทุนทองคำ ในมุมมองของทาง YLG ในช่วงครึ่งปีหลังกัน

ทั้งนี้ YLG มองว่า

ระยะสั้น ราคาทองคำอยู่ใน Downtrend เส้นสีแดง นับตั้งแต่ราคาขึ้น ไปทดสอบระดับสูงสุดของปีนี้ บริเวณ 2,069 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ราคาทองคำก็เคลื่อนไหวในลักษณะการทำ Lower High และ Lower Low ต่อเนื่อง

- Advertisement -

ขณะที่ ราคาทองคำดิ่งลงแรงจนเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยเกือบทุกแนว สะท้อนทิศทางเชิงลบในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี

จากกราฟ จะเห็นได้ว่า ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในระยะยาวยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น

สะท้อนจาก การที่ราคาทองคำมีการยกระดับต่ำสุดขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2018, 2019, 2020 และ 2021 พร้อมกันนี้ ยังทำระดับสูงสุดต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2017, 2018, 2019, 2020

แม้ว่าในปี 2021 ราคาจะไม่สามารถทำระดับสูงสุดที่เหนือกว่าปีก่อนหน้าได้ แต่ล่าสุดในปี 2022 ราคาทองคำได้ทะลุผ่านระดับสูงสูงสุดของปี 2021 บริเวณ 1,960 ดอลลาร์ ได้

ทำให้ทิศทางราคาทองคำเป็นบวก จนทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อ ขึ้นมาทดสอบมีเป้าหมายถัดไปของ YLG ซึ่งอยู่ที่ 2,075 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นโซนระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคาเคยขึ้นไปทดสอบในช่วงเดือนส.ค.ปี 2020

- Advertisement -

แม้ว่าราคาทองคำในปัจจุบันมีการปรับตัวลงในลักษณะของการปรับฐาน แต่ตราบใดที่ราคาทองคำสามารถทรงตัวในกรอบ Uptrend Line สีเขียวซึ่งอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังมองว่าราคาทองคำยังคงรักษาระดับอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป

คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) กล่าวกับ GoldAround

แต่หากราคาหลุดกรอบ Uptrend Line สีเขียวซึ่งอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ จะทำให้มุมมองเชิงบวกลดลง และมุมมองจะเป็นกลางมากขึ้น

โดยราคามีแนวโน้มจะลงไปสร้างฐานบริเวณแนวรับสำคัญ และ เป็นฐานของราคาทองคำในปี 2021 บริเวณ 1,676-1,630 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ อีกครั้ง

และหากราคาหลุดบริเวณ 1,676-1,630 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ จะทำให้ทิศทางราคาในระยะยาวเปลี่ยนเป็นลบ โดยมีโอกาสปรับฐานในรูปแบบที่ลึก และมีเป้าแนวรับถัดไปจะอยู่ในโซน 1,530 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ( ฐานของราคาทองคำในปี 2012 )

ทั้งนี้ YLG แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในภาพรวมว่า

ผู้ที่มีทองคำในมือเป็นจำนวนมาก แนะนำ ให้ลดสถานะการถือครองทองคำบางส่วน ด้วยการขายทำกำไรระยะสั้น เมื่อราคาปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน ในระยะกลางที่ 1,879 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

แต่หากผ่าน 1,879 ดอลลาร์ อาจถือต่อเพื่อรอขายบริเวณเป้าหมายของปีที่ 1,998 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ และ 2,069-2,075 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ แล้วรอการอ่อนตัวลงของราคา จึงกลับเข้าซื้อบริเวณแนวรับด้านล่าง

สำหรับผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในมือ รอการอ่อนตัวลง เพื่อเป็นโอกาสทยอยซื้อ โดยระมัดระวังการไล่ซื้อ โดยประเมินว่าการปรับตัวลงของราคาทองคำยังคงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเช่นเดิม แต่แนะนำให้แบ่งไม้เข้าซื้อ โดยไม่เข้าซื้อที่แนวรับใดแนวรับหนึ่งเต็ม 100% ของพอร์ต

ทั้งนี้ แนะนำเข้าซื้อไม้แรก หากราคาทองคำหากสามารถยืนเหนือแนวรับ 1,780 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ได้ ขณะที่การหลุด 1,780 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ จะทำให้ทิศทางราคาทองคำในระยะสั้นเป็นลบมากยิ่งขึ้น จึงอาจชะลอการเข้าซื้ออกไปเพื่อรอดูการตั้งฐานของราคาอีกครั้ง บริเวณฐานสำคัญของราคาทองคำบริเวณ 1,676-1,630 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มในระยะสั้น ราคาทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาลง และแม้ทิศทางระยะยาวยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แต่ทองคำปรับตัวลงมาใกล้แนวกรอบล่างของ Uptrend Line สีเขียว ซึ่งอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ทำให้ความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงไปทดสอบระดับ 1,765 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ มากกว่าจะทะลุ 2,070 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

และ ด้วยปัจจัยพื้นฐานสำคัญ ได้แก่ การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟด จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ความเป็นไปได้ที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงไปทดสอบระดับ 1,765 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ มากกว่าจะทะลุ 2,070 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ราคาทองคำจะกลับมาเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่งยังพอมีอยู่

โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และกระตุ้นให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ข้างต้นจะพลิกกลับมาเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นบวกสำหรับทองคำอีกครั้ง

นั่นทำให้แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะกลายเป็นจุดโฟกัสที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2022

ขอขอบคุณ YLG

- Advertisement -