บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 26 ก.ย.65 by MTS

MTS GOLD

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำยังคงปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,650 เหรียญลงมาทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,640 เหรียญ โดยภาพรวมของตลาดยังคงถูกกดดันอยู่ในทิศทางขาลงจากการวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ต่างๆว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยเช้านี้ดัชนีดอลลาร์อยู่ที่บริเวณ 113.77 จุด กดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว

โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปที่ระดับ 37.77 บาทต่อดอลลาร์ในเช้าวันนี้ ด้านกองทุนทองคำ SPDR เมื่อวันศุกร์ขายออก 2.90 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 947.23 ตัน สำหรับภาพรวมของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และยังไม่ได้รับผลกระทบในเชิงลบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมา 5 ครั้ง ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอยู่ที่ 3.25% โดยผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 2 ปี อยู่ที่ 4.24% และ 10 ปีอยู่ที่ 3.72% ส่งผลให้เงินส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่พันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ระดับ 0.75% โดยผลตอบแทนพันธบัตรไทย 2 ปีอยู่ที่ 1.63% และ 10 ปีอยู่ที่ 2.80%

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ราคาทองคำยังคงเคลื่อนตัวในทิศทางแนวโน้มขาลง และถูกกดันจากสภาวะแวดล้อมต่างๆ โดยวันนี้คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ 1,630 เหรียญ และแนวต้านที่ 1,655 เหรียญ เช่นเดียวกับ Gold Online Futures

สำหรับ Gold Comex คาดจะมีกรอบแนวรับที่ 1,635 เหรียญ และแนวต้านที่ 1,660 เหรียญ สำหรับราคาทองคำไทยมีแนวรับที่ 29,000 บาท/บาททองคำ และมีแนวต้านที่ 29,450 บาท/บาททองคำ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

แนะนำลงทุนในกรอบตามทิศทางการเคลื่อนตัวของราคาในลักษณะ Sideways Down เน้นการถือสถานะ Short Position

– นักลงทุนที่ถือ Long Position

ยังไม่แนะนำให้เปิดสถานะ หรือรอเข้าซื้อเมื่อราคาลงมาบริเวณแนวรับและรีบปิดเมื่อราคาดีดตัวกลับเน้นเทรดระยะสั้น

– นักลงทุนที่ถือ Short Position

เก็งกำไรในกรอบ เปิดสถานะตามแนวต้านและปิดทำกำไรตามแนวรับ

ขอขอบคุณ : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด (MTS)

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 26 ก.ย.65 by LHC

LangHong เล่งหงษ์

ภาพรวมทิศทางราคาทอง

ราคาทองคำ Gold Spot สัปดาห์ที่ผ่านมาภาพรวม ราคาปรับลดลงอีกครั้งในคืนวันศุกร์ทำจุดต่ำสุดใหม่ทางด้านกองทุน SPDR สัปดาห์นี้ยังคงลดระดับการถือครองลงต่อเนื่อง

สรุปข่าวเด่น รายสัปดาห์

  • ค่าเงินดอลลาร์ขึ้นไประดับสูงสุดในรอบ 20 ปี เทียบกับดัชนีสำคัญที่วัดค่าสกุลเงินหลัก 6 สกุลรวมถึงยูโรและเยนของญี่ปุ่นนักลงทุนมืออาชีพหลายคนคาดว่ายังไม่อ่อนค่าลงในเร็วๆ นี้
  • รอยเตอร์สรายงานว่ารัฐรับาลต่างๆ ในทวีปยุโรปได้จัดสรรงบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการด้านพลังงานไม่ว่าจะเป็นการควบคุมราคาก๊าซ ค่าไฟฟ้า รวมถึงการลดภาษีและการให้เงินอุดหนุนแก่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจ รวมเกือบ 500,000 ล้านยูโรแล้วจนถึงขณะนี้เพื่อให้ภาคธุรกิจอยู่รอด
  • Alibaba Cloud ส่วนธุรกิจให้บริการคลาวด์ของ Alibaba ประกาศงบลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ ใน 3 ปีข้างหน้าสำหรับสนับสนุนเทคโนโลยีให้กับพาร์ตเนอร์รองรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ซึ่งมาทั้งในรูปเงินทุนสนับสนุนและการสนับสนุนรูปแบบอื่น
  • สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2565 ว่า “ทองคำ ” ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดสุนับตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ตามมาด้วยการเทขายในวงกว้างหลังจากธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐรั (เฟด) เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
  • เศรษฐกิจโลกอาจกำลังเผชิญกับภาวะการณ์ต่างๆ ที่คล้ายกับช่วงวิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 1997 ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าประวัติศาสตร์ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกครั้ง แต่เตือนว่า เปโซของฟิลิฟิลิปปินส์ รูปีของอินเดีย บาทของไทย มีแนวโน้มอ่อนค่าเป็นพิเศษในระยะสั้น
  • นางเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐแสดงความเชื่อมั่นในวันพฤหัสหับดีว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุในการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธว่า เขาจะไม่พิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2%

ขอขอบคุณ : บริษัท เล่งหงษ์ คอมโมดิตีส์ จำกัด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 26 ก.ย.65 by GT

GT Gold Bulliuon

Fundamental

  • ดอลลาร์แข็งสุดในรอบ 20 ปี และยังแข็งต่อไม่มีหยุด จากความกังวลของนักลงทุนว่า Fed จะใช้มาตรการที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้นนอกจากการลดดอกเบี้ยโดยเร็วหากว่ายังมีทีท่าว่าจะกดภาวะเงินเฟ้อไม่ลงตามแผน จึงทำให้ราคาทองร่วงแตะจุดต่ำสุดในระยะ 2 ปีครึ่ง
  • ทั้งนี้ กว่าครึ่งของผู้เชี่ยวชาญในตลาดการเงินที่ได้รับการสำรวจความคิดเห็น มองว่ามีโอกาสสูงที่สหรัฐฯจะมีภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในไม่เกิน 1 ปีข้างหน้า

Technical

  • เช้านี้เปิดตลาดมาราคาร่วงหนักก่อนดีดกลับ มายืนเกือบแถวที่ปิดตลาดไปเมื่อคืนวันศุกร์ แต่ภาพการสร้างฐานเสียไปแล้วและเป็นขาลงเต็มตัวอีกครั้ง
  • การทิ้งดิ่งเมื่อวันศุกร์ทำให้ต้องมองทิศทางราคาว่ามีโอกาสจะหลุด 1,600 แต่ไม่น่าหลุด 1,550
  • ทิศทางวันนี้  แค่ยืนก็เหนื่อยแล้ว
  • จับจังหวะเล่นยังไง?  ดู 1,640 เป็นหลัก ถ้ายืนได้ให้เล่นฝั่งซื้อ ถ้าหลุดลงไปก็ให้ชอร์ตตาม

Attention

  • Fed Fund Rate Futures ล่าสุด 24% มองขึ้นดอกเบี้ยเดือน พ.ย. ที่ 0.50% และ 76% มองขึ้น 0.75% อีกครั้ง
  • Inverted Yield Curve 10-2y spread อยู่ที่ -0.51%

ขอขอบคุณ : บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 26 ก.ย.65 By ShiningGold

ชายน์นิ่งโกลด์ บูลเลี่ยน

Highlight

สัปดาห์สุดท้ายในเดือนนี้ยังมีปัจจัยกดดันทองคำอยู่มาก อาทิเช่น คำแถลงการณ์ของประธานเฟดสาขาต่างๆ ที่จะเข้ามาตรอกย้ำการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราเบี้ย การพยายามสร้างความเคยชินและลดแรงตื่นตัวของตลาด โดยการปรากฎตัวบ่อยครั้งของคุณพาวเวล ทำให้เกิดความคาดหวังอีกรูปแบบว่า จะช่วยลดแรงกระแทกของสินทรัพย์ในอนาคตได้

ขณะที่ตลาดเริ่มมีการคาดการณ์และให้น้ำหนักต่อการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในฝั่งยุโรปยังคงฉุดค่าเงินยูโรให้อ่อนค่า แต่กลับผลักดันดอลลาร์ให้แข็งค่า ซึ่งก็ไม่เป็นดีนักต่อทองคำ แม้จะมีความสุ่มเสี่ยงของตลาดจากการลงประชามติของ 4 แคว้นในยูครน ที่จะสิ้นสุดในช่วงวันที่ 27 นี้ หากภายในช่วงต้นสัปดาห์ไม่ก่อหวอดเพื่อสร้างความตึงเครียดไปอีกระดับทองคำคงจะเข้าสู่รอบปรับฐานทางเทคนิคแบบปกติต่อไป ควรระวัง

กลยุทธ์การลงทุน : Open Short 1645-49/1657 [SL=1662]

แนวต้าน     1645-49/1657/1675

แนวรับ       1633/1625/1616

Stoploss   1662

การคาดการณ์ราคาทองคำไทย :  ราคาทองคำไทยยังมีความเสี่ยงปรับฐาน

แนวต้าน   29280/29400

แนวรับ     29140/29000

ขอขอบคุณ : บจก.ชายน์นิ่งโกลด์ บูลเลี่ยน

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 26 ก.ย.65 By HGF

ฮั่วเซ่งเฮง

วิเคราะห์ราคาทอง

แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหว Sideways down โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,630 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไป 1,620 ดอลลาร์  ขณะที่มีแนวต้าน 1,650 ดอลลาร์ และ 1,660 ดอลลาร์

สภาวะตลาดทอง

ทองคำสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงระดับต่ำสุดรอบ 2 ปีครึ่ง

สัปดาห์นี้สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 2

GOLD SPOT

สูงสุด – 1,675 ดอลลาร์

ต่ำสุด – 1,639 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง

สูงสุด – 29,400 บาท

ต่ำสุด – 29,400 บาท

ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา

ราคาทองคำ spot สัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องในระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ซึ่งราคาทองคำปรับตัวลดลงระดับต่ำสุดบริเวณ 1,639 ดอลลาร์ เนื่องจากได้รับแรงกดดันการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความกังวลว่าเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการที่เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากที่ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐสัปดาห์ก่อน เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ทั้งนี้นายเจอโรม พาวเวล เน้นย้ำเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยังไม่พิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจว่าตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% สำหรับทางด้าน SPDR Gold Trust ขายทองคำสุทธิ 13.62 ตันจากสัปดาห์ก่อน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม

สัปดาห์นี้สหรัฐจะเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการประมาณการครั้งสุดท้าย ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค. ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือนส.ค. ดัชนี PMI เขตชิคาโกเดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. โดย Conference Board นอกจากนี้ ติดตามการแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ และประธานธนาคารกลางยุโรป

ขอขอบคุณ : บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด(HGF)

ดอลลาร์พุ่งทะลุ 113 ฉุดทองคำร่วงหนัก หากหลุด $1,600 อาจมีหนาว.. แนวรับลึก $1,540

photo by Rūdolfs Klintsons | pexels.com

ทองคำ ซื้อขายใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ และผลตอบแทนของกระทรวงการคลังปรับตัวเพิ่มขึ้น

ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มีแนวโน้มว่าราคาทองคำจะลดลงอีก แต่ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการซื่อสะสม

ความผันผวนของตลาดการเงิน เกิดขึ้นหลังเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน และคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 0.75% ในเดือน พ.ย. และอีก 0,50% ในเดือน ธ.ค. ทำให้คาดว่า ดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.4% ภายในสิ้นปี 2565 และ 4.6% ในปี 2566 ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงอีก 1.7% ในสัปดาห์นี้

Bart Melek

Bart Melek global head of commodity markets strategy TD Securities กล่าวกับ Kitco News ว่า

ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินนโยบายการเงินก้าวร้าวมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเดือนที่ผ่านมามากพอสมควร ซึ่งเป็นผลลบต่อราคาทองคำ และจากนโยบายของเฟดทำให้มองว่าโอกาสที่ดอลลาร์สหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นยังมีพื้นที่อีกมาก ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับทองคำ

Edward Moya

ขณะที่ Edward Moya senior market analyst ของ OANDA กล่าวว่า

ดูเหมือนว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่ถึงจุดสูงสุด ทำให้สภาวะตลาดยังไม่มั่นคง

ปัญหาก็คือ เราจะยังไม่ได้เห็นว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ดอลลาร์ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก

Edward Moya กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อดัชนีดาวโจนส์แตะระดับต่ำสุดของปี เมื่อวันศุกร์ และมีความผันผวนมากขึ้นในอนาคต ทองคำจึงจะยังไม่ฟื้นตัวในระยะสั้น และจึงไม่รีบเร่งซื้อทองคำในตอนนี้ เพราะมีตลาดตราสารมีความผันผวนต่ำ และให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งได้แย่งชิงเม็ดเงินจากทองคำไป

อย่างไรก็ดี Edward Moya มองว่า ในท้ายที่สุดทองคำจะกลายเป็นสินทรัพย์หลบภัยอีกครั้ง เมื่อตลาดหุ้นคลี่คลายลง แต่ก่อนหน้านั้น เศรษฐกิจจำเป็นต้องชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อต้องชะลอตัวลง

เพราะเมื่ออัตราเงินเฟ้อเคลื่อนเข้าสู่ระดับที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยมากขึ้น เฟดจะสามารถพลิกนโยบายการเงินกลับมาใช้นโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อราคาทองคำ

ทั้งนี้ Moya มองว่า หากราคาทองคำลดลงต่ำกว่า 1,600 ดอลลาร์ ความผันผวนจะสูงขึ้น โดยแนวต้านต่อไปจะอยู่ที่ 1,540 ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามามากขึ้น

ขณะที่ มองว่า ตลาดกำลังจับตาดูข้อมูลการจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า โดยคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 300,000 ตำแหน่ง ในเดือน ก.ย. และ มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.5% ซึ่งใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี

อย่างไรก็ดี Melek มองว่า การที่ราคาทองคำลดลงในระดับนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี สำหรับผู้ซื้อ เพราะเฟดระบุว่า เมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม เฟดอาจพลิกกลับอย่างรวดเร็วใน ปี 2566 และ คาดว่าทองคำจะทำได้ดีในระยะยาว

ทั้งนี้ ให้แนวต้านอยู่ที่ 1,678-1,680 ดอลลาร์ และ แนวรับอยู่ที่ระดับ 1,580 ดอลลาร์

ที่มา : Kitco.com

ผลสำรวจมุมมองต่อทิศทางราคาทองคำ รายสัปดาห์ วันที่ 26-30 ก.ย.65 | GRC Gold Survey

GRC Gold Survey 26-30 ก.ย.65

ผลสำรวจมุมมองต่อทิศทาง ราคาทองคำ ในประเทศรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ย.65 จากการสำรวจ GRC Gold Survey โดย ศูนย์วิจัยทองคำ

14 ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำที่ได้มีส่วนร่วมตอบแบบสำรวจ ในจำนวนนี้มี 3 ราย หรือเทียบเป็น 21% คาดว่าราคาทองคำในสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 4 ราย หรือเทียบเป็น 29% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 7 ราย หรือเทียบเป็น 50% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สำหรับนักลงทุนทองคำ ได้เข้าร่วมตอบแบบสำรวจ จำนวน 318 ราย ในจำนวนนี้มี 124 ราย หรือเทียบเป็น 39% คาดว่าราคาทองคำในประเทศของสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 150 ราย หรือเทียบเป็น 47% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 44 ราย หรือเทียบเป็น 14% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา

สถานการณ์ราคาทองคำ

ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 29,200 – 29,550 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 29,400 บาท ต่อบาททองคำ ปรับเพิ่มขึ้น 50 เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดของสัปดาห์ก่อนหน้า (สัปดาห์ก่อนหน้าปิดที่ 29,350 บาท) ดูรายงาน GRC ฉบับก่อนหน้า

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

1. ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย โดยธนาคารโลกเตือนว่า กระแสการเร่งคุมเข้มนโยบายการเงินในเชิงรุกอาจทำให้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะถดถอยในปี 2566

2. รัสเซียประกาศยกระดับการทำสงครามในยูเครน เมื่อประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลจำนวน 300,000 นาย เพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน

3. การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้นคาดว่าจะปรับขึ้นที่ระดับ 0.25% โดยจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.00% อย่างไรก็ตาม หากปรับขึ้นที่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้จะช่วยหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้อีกครั้ง

4. รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน กันยายน 2565,  ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน, ยอดขายบ้านใหม่, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย และอัตราเงินเฟ้อ PCE/Core PCE Price Index เดือน สิงหาคม 2565

ที่มา : ศูนย์วิจัยทองคำ

ราคาทองคำวันนี้ : ทองคำมีแรงฮึด แต่ยังก้าวข้าม $1,700 ไม่ได้

photo by Michael Steinberg | pexels.com

ราคาทองคำ วานนี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,655-1,684 ดอลลาร์ ก่อนจะปิดปรับตัวลดลง 3 ดอลลาร์

โดยทองคำยังได้รับแรงกดดันจากดัชนีดอลลาร์ที่พุ่งขึ้น ทำระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ที่ 111.81 ก่อนที่ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแรงหลังรัฐบาลญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี หรือ นับตั้งแต่ปี 1998 เพื่อพยุงค่าเงินเยนที่ทรุดตัวลง

ทำให้สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเกือบ 4% แตะ 140.31 เยนต่อดอลลาร์ จาก 145.81 เยนต่อดอลลาร์ กดดันดัชนีดอลลาร์ ให้ร่วงลงแตะ 110.46 และหนุนราคาทองคำพุ่งแตะ 1,685 ดอลลาร์ แต่ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้

โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร และแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก ทั้ง สหรัฐฯ สวีเดน อังกฤษ สวิสฯ และนอร์เวย์ ทำให้ทองคำร่วงมาปิดตลาดที่ 1,670 ดอลลาร์

ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงเช้าวันนี้ ยัง sideway ในกรอบ 1,670-1,675 ดอลลาร์

ทั้งนี้ AUSIRIS มองว่า มี 3 ปัจจัย ดันราคาทองคำ คือ

1. ญี่ปุ่นแทรกแซงค่าเงิน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี โดยนำเงินทุนสำรองสกุลดอลลาร์ มาซื้อเงินเยนญี่ปุ่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มความต้องการเงินเยน และ ทำให้เงินเยนแข็งขึ้น

2. ธนาคารกลาง อังกฤษ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 0.5%

3. ธนาคารกลางของ Swiss ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จบนโยบายการใช้ดอกเบี้ยติดลบ

ทั้ง 3 ปัจจัยกดให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน และดันราคาทองคำ

ส่วนการคาดการณ์ ราคา Gold Spot วันนี้ มีแนวต้านที่ 1,680 และ 1,688 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,669 และ 1,655 ดอลลาร์ ส่วนทองแท่ง 96.5% มีแนวต้านที่ 29,634 และ 29,855 บาท ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 29,440 และ 29,193 บาท

ขณะที่ MTS Gold มองว่า

ราคาทองคําเคลื่อนตัวในทิศทาง sideways โดยมีกรอบแนวรับที่ 1,655 ดอลลาร์ และ แนวต้านที่ 1,680 ดอลลาร์

สําหรับราคาทองคําไทยมี แนวรับที่ 29,200 บาทต่อบาททองคํา และมีแนวต้านที่ 29,500 บาทต่อบาททองคํา

มาดูราคาทองคำในประเทศ ที่ประกาศโดย สมาคมค้าทองคำ

เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (23 ก.ย.) ราคาขยับบวก 50 บาท หลังเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ทำให้ราคาขายออกทองคำแท่ง 96.5 ล่าสุด (11.00 น.) อยู่ที่ 29,550 บาท ส่วนราคารับซื้ออยู่ที่ 29,450 บาท

ด้าน SPDR Gold Trust

ยังขายทองคำออกมาอีก 2.03 ตัน

คืนนี้ สหรัฐฯ จะเปิดเผย

ดัชนี PMI ภาคบริการ เดือน ก.ย. ตลาดคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 45.5 จากระดับ 43.7 ในเดือน ส.ค.

และดัชนี PMI ภาคการผลิต เดือน ก.ย. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 51.0 จาก 51.5 ในเดือน ส.ค.

นอกจากนี้ติดตามสถานการณ์สงคราม รัสเซีย-ยูเครน

หมายเหตุ : เนื้อหาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่การชักชวนให้ ซื้อ-ขาย หรือ ลงทุน หรือ เป็นเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ และอาจจะไม่สะท้อนถึงความเห็นของ GoldAround.com ทั้งนี้ ทีมงานไม่ยอมรับความผิดในความสูญเสีย และ หรือ ความเสียหาย ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลข้างต้น

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 23 ก.ย.65 by YLG

คำแนะนำ       เปิดสถานะขาย $1,687-1,705

จุดทำกำไร    ซื้อคืนเพื่อทำกำไร $1,653-1,632

ตัดขาดทุน     ตัดขาดทุนสถานะขายหากผ่าน $1,705

แนวรับ : 1,653 1,632 1,612  แนวต้าน : 1,687 1,705 1,723

สรุป

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 2.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระหว่างวันราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,655.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดอลลาร์ที่พุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีครั้งใหม่ที่ 111.81 ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ดี ราคาทองคำค่อยๆฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้นจากแรงซื้อ Buy the dip ก่อนที่ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแรงหลังญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1998 เพื่อพยุงค่าเงินเยนที่ทรุดตัวลง นั่นทำให้สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเกือบ 4% เป็น 140.31 ต่อดอลลาร์จาก 145.81 ในเวลาเพียง 40 นาที ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันดัชนีดอลลาร์ให้ร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบ 20 ปีแตะระดับต่ำสุดในระหว่างวันบริเวณ 110.46

สถานการณ์ดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,684.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เป็นอีกครั้งที่ราคาทองคำไม่สามารถรักษาช่วงบวกไว้ โดยได้รับแรงกดดันจากแรงขายทำกำไร และแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก หลังจากธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ยกระดับการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 350 bps ในสัปดาห์นี้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ สวีเดน อังกฤษ สวิสฯ และนอร์เวย์ เป็นต้น

สถานการณ์ดังกล่าวหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกให้พุ่งขึ้นจนเป็นปัจจัยกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง -2.03 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการบริการและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ

ข่าวสารประกอบการลงทุน

  • (+) ดาวโจนส์ปิดลบ 107.10 จุด วิตกเฟดเร่งขึ้นดบ.ฉุดเศรษฐกิจ ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี (22 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นปัจจัยกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,076.68 จุด ลดลง 107.10 จุด หรือ -0.35%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,757.99 จุด ลดลง 31.94 จุด หรือ -0.84% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,066.81 จุด ลดลง 153.39 จุด หรือ -1.37%
  • (+) Conference Board เผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ปรับตัวลง 0.3% ในเดือนส.ค. หลังจากร่วงลง 0.5% ในเดือนก.ค. โดยปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน
  • (+) ทำเนียบเครมลินไม่ค้านม็อบต้านระดมพลเจอหมายเกณฑ์ทหาร นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ไม่ปฏิเสธต่อรายงานที่ว่า ชาวรัสเซียที่ออกมาชุมนุมต่อต้านการประกาศระดมพลของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ถูกตำรวจจับกุม พร้อมกับถูกหมายเรียกให้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร “สิ่งนี้ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด” นายเพสคอฟกล่าว
  • (-) ปอนด์อ่อนค่า ตลาดผิดหวัง BoE ขึ้นดบ.เพียง 0.50% เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (22 ก.ย.) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ซึ่งสร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนบางส่วนที่คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ขณะที่ดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนถึงปี 2566 ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.64% แตะที่ระดับ 111.3520 เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1251 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1354 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.9833 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9911 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6640 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6702 ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 142.41 เยน จากระดับ 143.57 เยน แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9787 ฟรังก์ จากระดับ 0.9627 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3492 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3369 ดอลลาร์แคนาดา
  • (-) บอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 2 ปี พุ่งทะลุ 4.1% ขานรับผลประชุมเฟด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พุ่งขึ้นเหนือระดับ 4.1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี ณ เวลา 00.05 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 4.12% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.688% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 3.623% การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
  • (-) คาดเฟดขึ้นดบ. 0.75% เดือนพ.ย., 0.50% เดือนธ.ค. หลังถอดรหัสถ้อยแถลง “พาวเวล” นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือในปีนี้ หลังถอดสัญญาณจาก Dot Plot และถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมวานนี้ ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนพ.ย. และปรับขึ้นอีก 0.50% ในเดือนธ.ค. ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 68.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. และให้น้ำหนัก 66.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
  • (-) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาดสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 218,000 ราย
  • (+/-) *BoE เสียงแตกขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 2.25% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2551 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564 นอกจากนี้ BoE ส่งสัญญาณว่าจะยังคงคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ   อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ โดยกรรมการ 5 รายลงมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่ 3 รายลงมติให้ปรับขึ้น 0.75% และ 1 รายให้ปรับขึ้น 0.25%

ขอขอบคุณ  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)