นักลงทุนหันซื้อทองคำอีกรอบหวั่นแรงขูของสหรัฐต่อจีน (อินโฟเควสท์)

ทองรูปพรรณ

05-05-20

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 12.4 ดอลลาร์ หรือ 0.73% ปิดที่ 1,713.3 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ เพื่อตอบโต้จีนที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐลดลง 10.3% ในเดือนมี.ค. จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งปรับตัวลดลงในอัตราที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 9.7% หลังจากหดตัวลง 0.1% ในเดือนก.พ. รายงานระบุว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานที่ร่วงลงอย่างหนักนี้ เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออก

ด้านสมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีนเปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงเปิดลดลง 40 ดอลลาร์ฮ่องกง แตะที่ระดับ 15,710 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อตำลึงในวันนี้ ( 5.พ.ค.)โดยสำนักข่าวซินหัว ระบุว่า ราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 2,024.48 ดอลลาร์สหรัฐที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ7.76 ดอลลาร์ฮ่องกง

ขอขอบคุณ อินโฟเควสท์

ราคาทองคำขยับขึ้น หลังส่อเค้ามีสงครามการค้ารอบ 2 (YLG)

YLG BULLION

05-05-20

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.48 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน หลังสหรัฐระบุว่า “มีหลักฐานสำคัญ” ที่บ่งชี้ว่า COVID-19 ที่แพร่ระบาดและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก มีต้นตอจากห้องปฏิบัติการในเมืองอู่ฮั่น พร้อมกันนี้ สื่อต่างประเทศยังรายงานเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ กำลังหารือเกี่ยวกับทางเลือกต่าง ๆ ในการตอบโต้จีน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น, การยกเลิกการจ่ายพันธบัตรสหรัฐฯ ที่จีนถือครอง, การสกัดกั้นไม่ให้กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลสหรัฐเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน, การปลดจีนออกจากหลักการการคุ้มกันอำนาจอธิปไตย “Sovereign Immunity”

ล่าสุด Reuters รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังหาวิธีดึงห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมโลกออกจากจีน เพื่อลดการพึ่งพาจีนเท่าที่ทำได้ ส่งผลให้นักลงทุนวิตกว่า ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศอาจบานปลาย กลายเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ จึงมีแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,714.75 ดอลลาร์ในระหว่างวัน

อย่างไรก็ดี สกุลเงินดอลลาร์ได้รับอานิสงค์เชิงบวกในฐานะสกุลเงินปลอดภัยเช่นกัน จึงเป็นปัจจัยสกัดช่วงบวกทองคำเอาไว้

ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 3.81 ตัน

มาดูการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ พบว่ายังคงเคลื่อนไหวในกรอบ ทั้งนี้ หากราคาทองคำขึ้นไปทดสอบแนวต้านในโซน 1,708-1,713 ดอลลาร์ แล้วยืนได้แข็งแกร่ง ยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ เพื่อไปทดสอบ แนวต้านถัดไป 1,725-1,728 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่หากผ่านแนวต้านแรกไม่ได้ ราคาจะอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับที่บริเวณ 1,680-1,668 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีทองคำในมือ อาจแบ่งขายบางส่วนหากราคาไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน และรอการอ่อนตัวลงของราคา หากสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,680-1,668 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แนะนำให้เข้าซื้อเพื่อลงทุนระยะสั้นจากการแกว่งตัวอีกครั้ง

ทั้งนี้ มองแนวรับไว้ที่ ระดับ 1,680 ดอลลาร์ 1,668 ดอลลาร์ และ 1,657 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านมองไว้ที่ ระดับ 1,713 ดอลลาร์ 1,728 ดอลลาร์ และ1,747 ดอลลาร์ตามลำดับ

ขอขอบคุณ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

แนวโน้มราคาทองคำดูดี หลังที่ SPDR ยังซื้อเข้าอีก เกือบ 4 ตัน (Ausiris)

Ausiris

05-05-20

ราคาทองคำวานนี้ ปรับตัวขึ้น 3 ดอลลาร์ มาปิดที่ระดับ 1,700 ดอลลาร์ ต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ราคาดีดขึ้นมา 14 ดอลลาร์ จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึง ความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดด้านการค้าครั้งใหม่ ระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ เพื่อตอบโต้ที่จีนเป็นต้นตอของไวรัส โควิด-19 หลังจากราคาทองคำปรับตัวลดลง 27 ดอลลาร์ จากแรงเทขายทำกำไร เพื่อปรับพอร์ตช่วงสิ้นเดือนในวันพฤหัสบดีที่มาผ่าน

มาดูความเคลื่อนไหนของราคาทองคำ เมื่อวานนี้ ทำจุดสูงสุดที่ 1,714 ดอลลาร์ จุดต่ำสุดที่ 1,691ดอลลาร์ ก่อนจะมาปิดที่ระดับ 1,700 ดอลลาร

ขณะที่กองทุน SPDR ยังคงซื้อทองคำเพิ่มอีก 3.81 ตัน รวมถือครองทั้งสิ้น 1,071.71 ตัน

ส่วนค่าเงินบาทอยู่ที่ 32.40 บาท ต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 0.07

ขอขอบคุณ บริษัท ออสสิริส จำกัด

ราคาทองคำแนวโน้มที่ดี หลังสหรัฐขู่ตอบโต้จีน (HSH)

ฮั่วเซ่งเฮง

05-05-20

สัปดาห์ที่ผ่านมา ทองคำ spot เคลื่อนไหวในกรอบ 1,669-1,728 ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยลบจากรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับยารักษาเชื้อไวรัส โควิด-19 และตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแรง ขณะที่ทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันจะตรึงอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ระดับ 0-0.25% จนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้น ส่วนจีดีพีไตรมาส 1 ของสหรัฐหดตัวลง 4.8%

ด้านกองทุน SPDR ซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 โดยซื้อทองคำ 19.59 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทิศทางเงินบาทในวันนี้ คาดจะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเนื่องจากสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ตึงเครียด โดย USD Futures เดือน มิ.ย.63 คาดจะมีแนวต้านที่ 32.45 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับที่ 32.25 บาท/ดอลลาร์

ส่วนการเคลื่อนไหวราคาทองคำวันนี้ คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,690-1,720 ดอลลาร์ ซึ่งทองคำมีประเด็นบวกจากสหรัฐขู่จะเรียกเก็บภาษีจีน เพื่อตอบโต้กรณีที่จีนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยราคาทองคำมีแนวต้าน 1,720 ดอลลาร์ และ 1,730 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวรับ 1,690 ดอลลาร์ และ 1,670 ดอลลาร์

ขอขอบคณ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด

ชี้ทรัมป์ ขู่จีนแค่ทำราคาทองคำสะดุ้ง จับตา NonFarm สะท้อนศก.สหรัฐ

ดร.พิบูลฤทธิ์ วิริยะผล ผอ.ศูนย์วิจัยทองคำ

ราคาทองคำดีดตัวรับ “โดนัลด์ ทรัมป์” จ้องเล่นงานจีน ต้นตอไวรัส โควิด- 19 ผอ.ศูนย์วิจัยฯ ชี้น่าจะแค่คำขู่ เพื่อหวังผลทางการเมือง แนะจับตาการผ่อนคลายล็อคดาวน์ และการเคลื่อนไหวของเฟด ที่จะส่งผลต่อ ศก. และตัวเลข NonFarm โดยตรง คาดกรอบราคาสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวในแนวเดิม 1,670-1,720 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับ-แนวต้าน ที่แข็งแรงมาก

มาสำรวจประเด็นข่าว ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในสัปดาห์นี้ หลาย ๆเรื่อง ยังคงสืบเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งแม้ว่าภาพรวมจะดูขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังทำให้มีประเด็นอื่น ๆ แตกย่อยออกมามากมาย โดยเฉพาะประเด็นที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโต้ที่จีนเป็นต้นตอของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงพยายามจะหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อเป็นการตอบโต้จีน ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลว่า อาจจะเป็นชนวนให้เกิดสงครามการค้าขึ้นอีกรอบ

ประเด็นนี้ทำให้ราคาทองสะดุ้งดีดตัวขึ้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ และส่งผลมาถึงช่วงเช้าวันนี้ในตลาดเอเชีย โดยราคาทองคำได้พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,705 ดอลลาร์ แต่ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเป็นเพียงการสร้างข่าวเพื่อหวังผลการเลือกตั้งในช่วงปลายปีมากกว่า เพราะหากสหรัฐจะเปิดศึกรอบใหม่จริงในช่วงนี้ ผลเสียน่าจะตกอยู่กับชาวอเมริกันมากกว่าเพราะสินค้าอุปโภคส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งจะทำให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้บริโภคโดยตรง ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ เว็บไซต์ GoldAround.com

GOLD COIN
GOLD COIN

แต่ประเด็นที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คงหนี้ไม่พ้นเรื่องของการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของสหรัฐอเมริกา ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเชื่อว่าจะส่งผลต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยเฉพาะตัวเลข NonFarm หรือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในเดือน เม.ย. ที่จะมีการประกาศในช่วงปลายสัปดาห์นี้ หากตัวเลขออกดีขึ้น ก็จะส่งผลต่อราคาทองคำอย่างแน่นอน

นอกจากนั้น ประเด็นเรื่องของการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ก็ยังคงต้องให้ความสำคัญ แม้ว่าผลการประชุมเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ประธานเฟดได้ระบุชัดเจนว่า

ห่วงเรื่องของเศรษฐกิจในไตรมาสสอง ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฟดจะเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด และจะพยายามทำให้ไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไป

ทำให้หลายฝ่ายต่างเฝ้าดูว่า หลังจากนี้ เฟดจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากที่ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงินไม่จำกัด (Unlimited) เพื่อรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของ COVID-19 ไปแล้ว

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ยังได้ให้มุมมองต่อกรอบการเคลื่อนไหวราคาทองคำในสัปดาห์นี้ (4-11 พ.ค.) ว่า ราคาคงจะยังอยู่ในแนวเดิม คือ แนวต้านที่ 1,720 ดอลลาร์ และแนวรับที่ 1,670 ดอลลาร์

ซึ่งเป็นจุดแนวต้านและรับที่แข็งแรงมาก โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้เข้าไปทดสอบทั้งสองจุดนี้ แต่ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวในแนว 1,690-1,705 ดอลลาร์ และคาดว่า กรอบดังกล่าวจะมีผลต่อทิศทางราคาทองคำในอนาคต

หากทรุดมาแตะ 1,670 ดอลลาร์ ก็อาจจะลงต่อ หรือหากขึ้นแตะ 1,720 กอลลาร์ ราคาก็อาจจะไปต่อ

อย่างไรก็ดี ขอฝากให้ติดตามการเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ซึ่งตลอดทั้งเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ได้ซื้อเข้าตลอดเมื่อราคามีการย่อตัวลงมา และเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ ยังซื้อเข้าอีก 11 ตัน โดยยังไม่มีการเทขายออกมา ซึ่งจะต้องจับตามองว่าจะเทขายมาออกมาเมื่อไร ซึ่งอาจจะส่งผลต่อราคาทองคำได้ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ เว็บไซต์ GoldAround.com

ส่วนเรื่องของผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ต่อวงการค้าทองคำนั้น ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ในภาพรวมถือว่าผ่อนคลายในระดับหนึ่ง การส่งออกทำได้มากขึ้นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงไม่ปกติ ซึ่งคงต้องรอดูมาตรการผ่อนคลายล็อคดาวน์ โดยเฉพาะเรื่องการขนส่งจากประเทศหลัก ๆ ในยุโรป รวมถึง สิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นพื้นที่หลักที่ประเทศไทยส่งทองคำออกไป เพราะแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงแต่ในภาพรวมปริมาณผู้ติดเชื้อยังสูงอยู่

ขอขอบคุณ ศูนย์วิจัยทองคำ

ราคาทองคำขยับลง รับข่าวมาตรการคลายล็อคดาวน์ (Ausiris)

Ausiris

04-05-20

ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์ปรับตัวลดลง 13 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,713 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากมีรายงานว่า สหรัฐและยุโรปเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ ที่มีการบังคับใช้ก่อนหน้านี้ เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยราคาทองคำทำจุดสูงสุดที่ 1,727 ดอลลาร์ ต่ำสุดที่ 1,705 ดอลลาร์

ขณะที่กองทุน SPDR ถือครองทองคำ 1048.31 ตัน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำขาย ที่ระดับ 1,712 ดอลลาร์ หรือบาทละ 26,150 บาท และ เป้าซื้อที่ระดับ 1,690 ดอลลาร์ หรือบาทละ 25,950 บาท

ขอขอบคุณ บริษัท ออสสิริส จำกัด

5 คำถามและ 4 โจทย์ ว่าด้วยการสนทนาเรื่อง “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด” (TDRI)

Japan

ประเด็นเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด -19 ยังคงเป็นเรื่องที่หลายคนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อ แนวทางการควบคุมและรักษา แนวทางการใช้ชีวิตในช่วงการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 รวมไปถึงยังมีการถกเถียงว่าหลังจากที่ปัญหา โควิด-19 สภาพสังคมจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และเราจะต้องปรับตัวอย่างไร

ที่ผ่านมา คำว่า “ความปกติใหม่” หรือ new normal ได้ถูกยิบหยกมาพูดถึงกันเป็นอย่างมาก มีหลากหลายมุมมอง หลากหลายความคิด จากบุคคลที่เกี่ยวข้องในแต่ละภาคส่วน วันนี้ เราจะขอหยิบยกอีกหนึ่งมุมมอง อีกหนึ่งแนวความคิดที่ น่าสนในของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ภายใต้ชื่อเรื่อง “5 คำถามและ 4 โจทย์ว่าด้วยการสนทนาเรื่อง “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด”

ในช่วงนี้คำว่า “ความปกติใหม่” (new normal) เป็นคำที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง และมีคนจำนวนมากร่วมกันจินตนาการต่อ “โลกหลังโควิด” (post-Covid world) จนมี “คำทำนาย” ต่าง ๆ ออกมามากมาย เช่น ต่อไปคนจะนิยมอยู่บ้านเดี่ยวมากกว่าคอนโดมิเนียม เพราะไม่ต้องการใช้ลิฟท์หรือพื้นที่ร่วมกับผู้อื่น ผังบ้านและผังเมืองจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย และพื้นที่ทำงานร่วมกัน (co-working space) จะลดความนิยมลงมาก เป็นต้น

เช่นเดียวกัน เกิดข้อเสนอจำนวนมากต่อการดำเนินการในอนาคต เช่น เราควรเน้นการพึ่งพาตนเองในการผลิตยารักษาโรค อาหารและพลังงานมากขึ้น รัฐควรจัดสรรสวัสดิการแก่ประชาชนโดยให้ “รายได้พื้นฐานอย่างทั่วถึง” (universal basic income) และเราต้องปรับออกจากการท่องเที่ยวที่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยวโดยเร็ว เป็นต้น

ผู้เขียนเองก็สนใจติดตามเรื่องนี้เหมือนกับหลายท่าน และเห็นด้วยกับคำทำนายเหล่านี้บางเรื่อง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ผู้เขียนมีความเห็นต่างอยู่มาก โดยเห็นว่าหลายคำทำนายน่าจะไม่ถูกต้องและมีลักษณะด่วนสรุปเกินไป ซึ่งน่าจะทำให้ข้อเสนอแนะต่อนโยบายของภาครัฐ แนวทางปฏิบัติของภาคธุรกิจ และคำแนะนำสำหรับประชาชนที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่มีความเหมาะสม หรือแม้กระทั่งก่อให้เกิดผลเสีย

การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตในการพัฒนาประเทศดังกล่าว เป็นสัญญาณดีที่คนจำนวนไม่น้อยในสังคมได้ตื่นตัวและต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนา อย่างไรก็ตาม การร่วมกันจินตนาการถึงอนาคตดังกล่าว ควรต้องได้รับการหนุนเสริมด้วยข้อมูลและหลักวิชาการที่หนักแน่น และผ่านการถกเถียงกันอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้กิจกรรมดังกล่าวเป็นประโยชน์มากที่สุด และไม่ติดอยู่กับ “หลุมพรางทางความคิด” ต่างๆ

ในความเห็นของผู้เขียนมี “หลุมพรางทางความคิด” ที่พบบ่อยอย่างน้อย 5 ประการดังต่อไปนี้

ประการแรก การไม่แยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม กับ “ความปกติใหม่” (new normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” เช่นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ที่น่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะช่วยลดต้นทุนจากการเดินทาง

การไม่แยกแยะประเด็นดังกล่าวตามที่ ดร. สันติธาร เสถียรไทย เคยตั้งข้อสังเกตไว้ อาจทำให้เราเข้าใจผิดไปว่า พฤติกรรมของมนุษย์เราในช่วงผิดปกติในปัจจุบันส่วนใหญ่จะดำรงต่อเนื่องไป ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของการเกิดโรคระบาดใหญ่ในอดีตชี้ว่า ในหลายกรณี

พฤติกรรมส่วนใหญ่ในช่วงผิดปกติ จะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว เช่น มีการศึกษาพบว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลกในช่วงปี 1918-1919 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกหลายสิบล้านคน ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น มหานครชิคาโก นิวยอร์ก และฟิลาเดลเฟียมากมาย อย่างที่มีการพูดกันว่า เมืองใน “โลกหลังโควิด-19” จะมีความนิยมในคอนโด มิเนียมลดลง ในขณะที่ความนิยมในบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นมาก เป็นต้น

อีกกรณีที่อาจเปรียบเทียบกันได้คือ เมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ภาคกลาง หลายคนก็เคย “ฟันธง” ว่า บ้านแถวปทุมธานีจะขายไม่ได้แล้ว แต่หลังจากนั้นไปเพียงปีครึ่งก็ปรากฏว่า ประชาชนกลับมาซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลนี้เหมือนเดิม ตามที่ ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ผู้บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ไว้

ประการที่สอง มีการตั้งเป้าหมาย “ความปกติใหม่” ในลักษณะที่อุดมคติมาก โดยไม่ได้คิดถึงต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในการปรับตัวไปสู่ “ความปกติใหม่”นั้น โดยเฉพาะต้นทุนด้านความปลอดภัย หรือการเน้นการพึ่งพาตนเองมากขึ้น (self sufficiency) ในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งยารักษาโรค อาหารและพลังงาน แม้ว่าต้นทุนของการพึ่งพาตนเองดังกล่าวอาจอยู่ในระดับที่สูงมาก จนไม่สามารถเกิดเป็น “ความปกติใหม่” นั้นได้ เช่น ข้อเสนอให้ประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านอาหารมากขึ้น ไม่น่าจะมีความจำเป็นเพราะประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ในระดับสูงมากอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับสิงคโปร์ ซึ่งมีปัญหาดังกล่าว การเพิ่มระดับการพึ่งพาตนเองด้านอาหารให้สูงขึ้นไปอีกจะมีผลทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยสาขาเกษตรเป็นหลัก ทั้งที่สาขาดังกล่าวมีผลิตภาพโดยรวมต่ำกว่าสาขาเศรษฐกิจอื่นมาก

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกันก็คือ การไม่คำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ (new constraint) ที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะฐานะการคลังของภาครัฐที่จะมีระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นมากในขณะที่ความมั่งคั่งของภาคธุรกิจ และครัวเรือนก็จะลดลงอย่างมาก จากผลกระทบของการยุติกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ และการที่รัฐต้องใช้จ่ายสูงกว่าปกติมากเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนไปสู่ “ความปกติใหม่” ตามที่บางฝ่ายจินตนาการไว้ เช่น ให้รัฐจัดสรรรายได้พื้นฐานอย่างทั่วถึงแก่ประชาชน (universal basic income) ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เป็นต้น

ประการที่สาม การไม่คำนึงถึงเส้นทางการพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่การพัฒนาเศรษฐกิจมีลักษณะขึ้นกับเส้นทางในประวัติศาสตร์ (path dependent) อย่างมาก การปรับเปลี่ยนไปสู่ “ความปกติใหม่” ตามที่บางฝ่ายจินตนาการไว้ จึงอาจไม่สามารถทำได้โดยง่าย เช่น ผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวของไทยได้ลงทุนไปมากกับการสร้างโรงแรมสำหรับรองรับนักท่องเที่ยวหลายสิบล้านคนต่อปี การปรับเปลี่ยนโมเดลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ลดจำนวนนักท่องเที่ยวลงขนานใหญ่ เพื่อเน้น “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ” ทำให้เกิดคำถามว่า จะใช้ประโยชน์จากการลงทุนมหาศาลในอดีตดังกล่าวอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเปล่า ในแง่นี้ บริการลองสเตย์อาจเป็นทางออกได้บางส่วน เพราะผู้ใช้บริการลองสเตย์หนึ่งคน จะอยู่อาศัยนานเหมือนมีนักท่องเที่ยวหลายสิบคน

ประการที่สี่ การไม่คำนึงถึงบริบทใหม่ (new context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกอย่างเพียงพอ ทั้งที่ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิด (small open economy) ซึ่งต้องพึ่งพาระบบเศรษฐกิจโลกในระดับสูง ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาของไทย จึงต้องเข้าใจบริบทใหม่ดังกล่าวให้ดี โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารความเสี่ยงในซัพพลายเชนระหว่างประเทศ และการกีดกันการค้าที่มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจตกต่ำ ทั้งในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ในช่วงทศวรรษ 1930 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (Great Recession) ในปี 2008

ประการที่ห้า การไม่ระบุข้อสมมติ (assumption) ที่สำคัญต่างๆ อย่างชัดเจน ทำให้ไม่ทราบว่า ข้อสรุปและข้อเสนอต่างๆ นั้นเกิดจากความเข้าใจใด และไม่ทราบว่า จะสามารถใช้ข้อสรุปและข้อเสนอเหล่านั้นได้เพียงใด เมื่อสถานการณ์จริงแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้

ข้อสมมติที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อโควิด-19 ถูกควบคุมได้จนไม่เป็นโรคระบาดใหญ่ในระดับโลก (pandemic) อีกต่อไป แต่กลายเป็นเพียงโรคระบาดประจำฤดูกาล (seasonal epidemic) เช่นเดียวกันกับไข้หวัดใหญ่ ในระยะเวลาที่เชื่อกันว่า ประมาณ 12-18 เดือน เนื่องจากมีวัคซีน หรือยารักษาโรคที่สามารถใช้ได้ในวงกว้าง หรือมีประชากรที่ติดเชื้อในระดับมากพอที่ทำให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) แล้วนั้น จะเกิดโรคระบาดใหญ่ในระดับโลก ในระดับที่ใกล้เคียงกับโควิด-19 อีกบ่อยเพียงใดในอนาคต เช่น 10 ปีข้างหน้า

ผู้เขียนไม่ทราบว่า ผู้ทำนาย “โลกหลังโควิด” จำนวนมากมีข้อสมมติอย่างไร แต่ดูคล้ายกับเชื่อกันว่า จะมีโรคระบาดครั้งใหญ่แบบโควิด-19 เกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งมากในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ผู้เขียนเชื่อว่า โอกาสที่จะเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกในระดับที่ใกล้เคียงกับโควิด-19 ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า น่าจะลดลงไปมาก เนื่องจาก ประเทศต่างๆ จะตื่นตัวเตรียมการรับมือกับการระบาดของโคโรนาไวรัสมากขึ้นหลังการระบาดครั้งนี้ ทำให้สามารถพัฒนาวิธีการตรวจโรค วัคซีนและยารักษาโรคได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการระบาดครั้งใหม่ ซึ่งจะจำกัดขอบเขตในการระบาดของโรคให้อยู่ในวงแคบได้ แม้เชื้อโรคจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

นอกจากนี้ การระบาดของโควิด-19 ยังน่าจะทำให้ประเทศต่างๆ เตรียมพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ โรคจากไวรัสอื่น แบคทีเรีย เชื้อราและเชื้อโรคอื่นๆ มากขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะทำให้การระบาดของโรคมีโอกาสถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบลงด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอว่า ก่อนที่เราจะด่วนสรุปว่า “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด” เป็นอย่างไร และเราควรดำเนินการอย่างไรนั้น

เราควรต้องถามตัวเองอย่างน้อย 5 คำถาม คือ

  1. เราใช้ข้อสมมติ (assumption) อะไรในการวาดภาพอนาคต?
  2. เราได้พยายามแยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดออกจาก “ความปกติใหม่” (new normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” หรือยัง?
  3. “ความปกติใหม่” ที่เราตั้งเป้าอยากเห็นจะมีต้นทุนสูงเพียงใด เราพร้อมจะจ่ายและสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทย ที่น่าจะเติบโตช้าลง ในขณะที่รัฐบาล ธุรกิจและประชาชนไทยจะมีทรัพยากรน้อยกว่าก่อนเกิดโควิด-19 มาก?
  4. การสร้าง “ความปกติใหม่” ตามที่เราจินตนาการไว้ จะต่อยอดจากการลงทุนสร้าง “ความปกติเดิม” ก่อนเกิดโควิด-19 อย่างไร ทั้งทุนกายภาพและทุนมนุษย์ ซึ่งหาก “ความปกติ” ใน 2 ช่วงเวลาแตกต่างกันมาก เราจะทำอย่างไรไม่ให้การลงทุนมหาศาลในอดีตสูญเปล่า?
  5. เราเข้าใจบริบทใหม่ (new context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปดีพอหรือยัง ที่จะทำให้เราปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับบริบทใหม่นี้?

การทำความเข้าใจต่อ “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด-19” มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมาก เราจึงควรช่วยกันศึกษาให้ดี ไม่ควรด่วนสรุปจากการหาคำตอบแบบผิวเผิน

ในความเห็นของผู้เขียน มีโจทย์สำคัญ 4 โจทย์ใหญ่ ที่เราต้องช่วยกันขบคิด คือ

1. โลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหลังการระบาดของโควิด-19?

2. ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว?

3. อะไรคือ “อนาคตที่พึงประสงค์” ของประเทศไทยใน “โลกหลังโควิด-19”?

4. คนไทยควรทำอย่างไร เพื่อสร้าง “อนาคตที่พึงประสงค์” ดังกล่าวให้เกิดขึ้น?

การศึกษาโจทย์ที่ 1 และโจทย์ที่ 2 ควรเป็นการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ ที่ต้องพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโลก และเชื่อมโยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเข้ากับประเทศไทย โดยต้องวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมหาศาล จับประเด็นสำคัญให้ถูก โดยแยก “เสียงรบกวน” (noise) ออกจาก “สัญญาณ” (signal) ให้ได้ ก่อนเอาสัญญาณนั้นมาตีความให้เหมาะสม ซึ่งสุดท้าย คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใช้การวาดฉากทัศน์ (scenario) เนื่องจาก จะมีทั้งตัวแปรที่ “เรารู้แล้ว” (knowns) ตัวแปรที่ “เรารู้ว่าเรายังไม่รู้” (known unknowns) และตัวแปรที่ “เราไม่รู้ว่าเรายังไม่รู้” (unknown unknowns) จำนวนมาก

ส่วนการตอบโจทย์ที่ 3 และโจทย์ที่ 4 ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของคนในวงกว้าง และมีกระบวนการสื่อสารกับสังคมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ผลการศึกษาของโจทย์ที่ 1 และโจทย์ที่ 2 เป็นพื้นฐานในการพิจารณา โดยแนวทางในการตอบโจทย์ส่วนนี้ควรทำผ่านกระบวนการระดมสมองที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เกิดความมีส่วนร่วม เพื่อสร้างพลังในการเปลี่ยนผ่าน (transformation) ไปสู่ “อนาคตที่พึงประสงค์” โดยเฉพาะจากคนหนุ่มสาวที่จะต้องอยู่กับ “โลกหลังโควิด-19” ไปอีกนาน

เขียนโดย : อาจารย์ สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

ที่มา : https://tdri.or.th/2020/04/new-normal-in-post-covid-world

ปฏิทินเศรษฐกิจที่น่าสนในรอบสัปดาห์นี้ 4 -8 พ.ค. 2563 (อินโฟเควสท์)

newspaper

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม
ออสเตรเลีย ธนาคารกลางออสเตรเลียประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย
สหรัฐ ยอดนำเข้า ส่งออก และดุลการค้าเดือนมี.ค.

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม
สหรัฐ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนเม.ย.จาก ADP
สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม
อังกฤษ ธนาคารกลางอังกฤษ ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย
สหรัฐ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม
สหรัฐ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย.

more : www.goldaround.com/economic-calendar

ราคาทองดีดตัวแรง หลังสหรัฐขู่เล่นงานจีนอีกรอบ (YLG)

YLG BULLION

04-05-20

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.26 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาปิดที่ระดับ 1699 ดอลลาร์ แม้ว่าราคาทองคำจะร่วงลงไปทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,668 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระหว่างการซื้อขายของวันศุกร์ แต่ราคาทองคำดีดตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงตลาดสหรัฐฯ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น เพื่อตอบโต้ที่จีนเป็นต้นตอของไวรัส COVID-19 ซึ่งแพร่ระบาด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

ด้าน Bloomberg รายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ฯ กำลังหาวิธีในการสกัดกั้นไม่ให้กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลสหรัฐเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยถือว่าเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ ส่วน The Washington post รายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์และที่ปรึกษากำลังหารือเกี่ยวกับ การปลดจีนออกจากหลักการ การคุ้มกันอำนาจอธิปไตย

“Sovereign Immunity” ที่เป็นการห้ามมิให้มีการฟ้องร้องรัฐบาลต่างชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐ หรือ ผู้เสียหายชาวอเมริกัน สามารถฟ้องร้องจีนได้ สถานการณ์ดังกล่าว กระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์สหรัฐ, พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รวมไปถึงทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นจาก Low ในระหว่างวันกว่า 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาปิดตลาดในวันศุกร์บริเวณ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มในวันศุกร์ +11.40 ตัน

ขอบขอบคุณ : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองคำ ประจำวันที่ 4 พ.ค.2563

แหวน ทองรูปพรรณ

ทองคำแท่ง ครั้งที่ 1 (+0) 09:24

ทองคำแท่ง ครั้งที่ 2 (+50) 13:44

แนวรับ 1,668 ดอลลาร์
แนวต้าน 1,713 ดอลลาร์

กลยุทธ์

เก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว ให้ขายหากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือบริเวณ 1,713-1,728 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทยอยซื้อคืนหากราคาไม่หลุดแนวรับบริเวณ 1,671-1,668 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ขายที่ 1,712 ดอลลาร หรือ บาทละ 26,150 บาท
ซื้อที่ 1,690 ดอลลาร์ หรือ บาทละ 25,950 บาท