ราคาทองคำ เมื่อวานที่ผ่านมาได้ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน ที่ระดับ 1,788 ดอลลาร์
เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และ จีน หลัง นาง แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน
ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่จีนอย่างมาก โดยจีนมองว่า เป็นการละเมิดหลักการจีนเดียว ส่งผลให้จีนจะทดสอบขีปนาวุธ และจัดซ้อมรบในบริเวณใกล้กับช่องแคบไต้หวัน
อย่างไรก็ดี ราคาทองคำปรับตัวลงแรงในเวลาต่อมา เนื่องจากแรงขายทำกำไร หลังจากที่ นาง เพโลซีฯ ถึงไต้หวัน โดยปราศจากเหตุการณ์รุนแรง
นอกจากนั้น ทองคำยังถูกกดดันจากดัชนีดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าอีกรอบ ขานรับถ้อยแถลงในเชิง Hawkish ของ ประธานเฟดซานฟรานซิสโก ( อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม )
รวมถึงคำกล่าวของ นาย เจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดเซนต์หลุยส์ ระบุว่า หากอัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวลงตามที่คาด อัตราดอกเบี้ยจะต้องยังคงสูงขึ้นไปอีกนาน สถานการณ์ดังกล่าว กดดันให้ทองคำร่วงลงเกือบ 30 ดอลลาร์ จากระดับสูงสุดลง มาปิดตลาดบริเวณ 1,759 ดอลลาร์
ก่อนที่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ราคาทองคำจะฟื้นตัวมาเคลื่อนไหวเหนือแนว 1,765 ดอลลาร์
ทั้งนี้ YLG มองว่า
หลังจากราคาทิ้งตัวลงแรงวานนี้ มีแรงซื้อดันให้ราคาฟื้นตัวขึ้นได้บ้าง ทั้งนี้ ในระยะสั้น หากราคาสามารถยืนเหนือแนวรับโซน 1,754-1,747 ดอลลาร์ ทำให้มีแนวโน้มดันขึ้นสู่บริเวณ 1,772-1,788 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในโซนดังกล่าวขึ้นไป ต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะออกมา หากราคาไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านโซนดังกล่าวได้
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ เปิดสถานะซื้อ 1,754-1,747 ดอลลาร์ จุดทำกำไร1,772-1,788 ดอลลาร์ และ ตัดขาดทุนสถานะซื้อหากหลุด 1,747 ดอลลาร์
ขณะที่ HuaSengHeng Gold Future มองว่า
แนวโน้มราคาทองคำ คาดปรับตัวลงเล็กน้อย โดยราคาทองคำมีแนวรับ 1,750 ดอลลาร์ และ แนวรับถัดไป 1,740 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,780 ดอลลาร์ และ 1,790 ดอลลาร์
ส่วนราคาทองคำในประเทศ ที่ประกาศโดย สมาคมค้าทองคำ
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (3 ส.ค.) ปรับลดลงมา 100 บาท และปรับขึ้น 50 ทำให้ราคาขายออกทองคำแท่ง 96.5 ล่าสุด (11.45 น.) อยู่ที่ 30,300 บาท ส่วนราคารับซื้ออยู่ที่ 30,200 บาท
ด้านกองทุน SPDR Gold Trust
กลับมาขายทองคำอีกรอบ โดยเมื่อเช้าขายออกไป 2.9 ตัน
คืนนี้ ยังมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ คือ
ดัชนี PMI ภาคบริการเดือน ก.ค. โดย ISM ตลาดคาดว่าจะลดลงมาสู่ระดับ 53.5 จากเดือน มิ.ย. อยู่ที่ ระดับ 55.3
และยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน เดือน มิ.ย. ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3% จากที่เพิ่มขึ้น 1.6% ใน เดือน พ.ค
หมายเหตุ : เนื้อหาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่การชักชวนให้ ซื้อ-ขาย หรือ ลงทุน หรือ เป็นเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ และอาจจะไม่สะท้อนถึงความเห็นของ GoldAround.com ทั้งนี้ ทีมงานไม่ยอมรับความผิดในความสูญเสีย และ หรือ ความเสียหาย ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลข้างต้น