คำแนะนำ เปิดสถานะขาย $1,649-1,656
จุดทำกำไร ซื้อเพื่อทำกำไร $1,620-1,614
ตัดขาดทุน ตัดขาดทุนสถานะขายหากหลุด $1,674
แนวรับ : 1,614 1,600 1,584 แนวต้าน : 1,659 1,674 1,691
สรุป
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 10.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนอย่างมากจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) โดยราคาทองคำทะยานขึ้นก่อนหลังจากเฟดมีมติ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ย 75 bps สู่ระดับ 3.75-4.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ม.ค. 2008 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด
ขณะที่แถลงการณ์หลังการประชุม(FOMC Statement) ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย “ในอัตราที่ชะลอตัวลง” ด้วยการระบุว่า เฟดจะคำนึงถึงการคุมเข้มนโยบายการเงินสะสมรวมไปถึงความล่าช้าที่นโยบายการเงินส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ และพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันดัชนีดอลลาร์และหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,669.06 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะร่วงลงแรงในทันทีที่ Press Conference ของนายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟดเริ่มต้นขึ้น
ทั้งนี้ นายพาวเวลล์ส่งสัญญาณในเชิง Hawkish มากกว่าที่ตลาดคาด โดยระบุว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ “ยังไม่เสร็จสิ้น” เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ขณะที่ระดับ “อัตราดอกเบี้ยสูงสุด” นั้นสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้ง “ยังเร็วเกินไป”ที่จะคิดเกี่ยวกับการหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราว (pause) เมื่อเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดยืนดังกล่าวหนุนให้ดัชนีดอลลาร์กลับมาพุ่งขึ้นทดสอบระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 4 bps สู่ระดับ 4.09% จนเป็นที่มาสำคัญที่กดดันให้ทองคำดิ่งลงแรงกว่า 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับสูงสุดในระหว่างวันสู่ระดับต่ำสุดบริเวณ 1,633.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปบี่ยนแปลง สำหรับวันนี้จับตาผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) และการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน และดัชนี PMI ภาคการบริการของสหรัฐ
ข่าวสารประกอบการลงทุน
- (+) เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย 0.50% เดือนธ.ค. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2551 การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 6 ในปีนี้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือนมิ.ย.,ก.ค.และก.ย. นอกจากนี้ เฟดระบุว่า มีความจำเป็นที่เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่เฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจขณะที่ทำการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลงในการประชุมเดือนธ.ค. ทั้งนี้ แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า “คณะกรรมการ FOMC คาดการณ์ว่า การปรับขึ้นเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยที่กำลังดำเนินอยู่จะมีความเหมาะสมเพื่อให้บรรลุจุดยืนนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดเพียงพอที่จะทำให้เงินเฟ้อกลับสู่ระดับ 2% ซึ่งในการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตนั้น เฟดจะพิจารณารวมถึงการคุมเข้มสะสมของนโยบายการเงิน, ความล่าช้าที่นโยบายการเงินส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและการเงิน”
- (-) “พาวเวล” ส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ชี้ภารกิจต่อสู้เงินเฟ้อยังไม่จบ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในวันพุธ (2 พ.ย.) โดยกล่าวว่า “ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก และข้อมูลที่เฟดได้รับนับตั้งแต่การประชุมครั้งที่แล้วยังบ่งชี้ว่า เฟดอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และผมมองว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย” “เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยในช่วงเวลาที่เฟดปรับขึ้นอัตราเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง (soft landing) นั้น มีน้อยลง เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อชะลอตัวอย่างเชื่องช้า” นายพาวเวลกล่าว
- (-) “ไบเดน” เรทติ้งกระเตื้อง ขณะเข้าโค้งสุดท้ายเลือกตั้งกลางเทอม ผลการสำรวจของ Reuters/Ipsos พบว่า คะแนนความนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้กระเตื้องขึ้นในช่วงเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ผลการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกัน 40% มีความพึงพอใจต่อการทำงานของปธน.ไบเดน โดยสูงกว่าระดับ 39% ที่มีการสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
- (-) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐสูงกว่าคาดในเดือนต.ค. ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 239,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง จากระดับ 192,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ภาคบริการมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 247,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่ภาคการผลิตมีการจ้างงานลดลง 8,000 ตำแหน่ง
ขอขอบคุณ : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)