แม้ว่า ราคาทองคำ จะถูกกดดันจากเงินดอลลาร์ แต่ก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยระดับโลก เพราะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเงินเยนของญี่ปุ่น และ เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
ทั้งนี้ ราคาทองคำยังยืนเหนือแนวรับที่ 1,700 ดอลลาร์ ได้ แม้เดือน ส.ค. ที่ผ่านมาจะลดลงไป 2% และ เป็นการลดลงเดือนที่ห้าติดต่อกัน
อย่างไรก็ดี ทองคำเริ่มต้นเดือน ก.ย. ด้วยการแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินปอนด์สเตอร์ลิง และเงินเยน
โดยราคา gold spot เทียบกับเยน ล่าสุด ซื้อขายที่ 4,292 เยนต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.77% ส่วนใน สหราชอาณาจักร gold spot เพิ่มขึ้นประมาณ 1% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ โดยซื้อขายล่าสุดที่ 1,491 ปอนด์ต่อออนซ์
การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำเทียบกับเงินปอนด์ เกิดขึ้นเนื่องจาก ค่าเงินร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 35 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 25 ปี เมื่อเทียบกับเงินเยน
Colin Cieszynski chief market strategist at SIA Wealth Management กล่าวว่า
ราคาทองคำ ได้ให้ผลตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับเงินปอนด์, เยน และ สกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลก ทำให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และเป็นสัญญาณว่า เมื่อดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่า ราคาทองคำจะทะยานไกล
อย่างไรก็ดี ปัจจัยกดดันทองคำ นอกจากดอลลาร์แล้วยังมี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทองคำจะทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบสกุลเงินอื่น ๆ แต่จากการรายงานของสภาทองคำโลก ระบุว่า ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา กองทุน ETF ได้เทขายทองคำออกมาอีก 51 ตัน
ด้าน Craig Erlam, senior U.K. and European market analyst at OANDA ได้เตือนนักลงทุนที่ชื่นชมผลงานของทองคำ เมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ โดยระบุว่า
แม้ทองคำจะมีผลการดำเนินงานที่ดี เมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากสกุลเงินเยนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เช่นเดียวกับ เงินปอนด์ ราคาทองคำก็ปรับตัวขึ้น
เนื่องจากสหราชอาณาจักรเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งทำให้ธนาคารกลางต้องชะลอนโยบายการเข้มงวดของนโยบายการเงิน หลังภาวะเงินเฟ้อ และ วิกฤตพลังงาน ได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร
Craig Erlam กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ทองคำอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่ยังคงรักษาระดับได้ดี และที่ระดับ 1,700 ดอลลาร์ ถือ เป็นราคาที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
และ Erlam ยังคงเห็นความแข็งแกร่งในตลาดทองคำ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในอนาคต เนื่องจากเฟด ยังคงหาทางออกในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างนิ่มนวล
ที่มา : Kitco.com
