ธนาคารโลกชี้ การเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจทำให้เศรษฐกิจโลก พัง !
ธนาคารโลก ชี้การต่อสู้กับเงินเฟ้อทั่วโลกในรูปแบบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบก้าวร้าว โดยธนาคารกลางหลายแห่งพร้อมกัน ๆ กำลังเพิ่มความเสี่ยงของภาวะถดถอย และวิกฤตการณ์ทางการเงินโลกในปี 2566
ธนาคารโลก ระบุในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างธนาคารกลางในขณะนี้ ไม่เคยพบเห็นในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่ความพยายามที่เกิดขึ้น ไม่ได้รับประกันว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงจะกลับคืนสู่ระดับที่ต้องการ
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินทั่วโลกเป็นเกือบ 4% จนถึงปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% จากค่าเฉลี่ยในปี 2564 เว้นแต่จะเกิดการหยุดชะงักของอุปทานและแรงกดดันของตลาดแรงงาน
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทั่วโลก (ไม่รวมพลังงาน) อยู่ที่ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ของค่าเฉลี่ย 50 ปี ก่อนเกิดระบาดของ ไวรัส โควิด-19
ธนาคารโลกยังระบุเพิ่มเติมว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดไว้ อาจทำให้ธนาคารกลางต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่เคยคิดไว้
โดยธนาคารกลางอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2% ตามแบบจำลองของธนาคารโลกที่ได้ทำขึ้น และหากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับความเครียดในตลาดการเงิน เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวลงเหลือ 0.5% ในปี 2566 ซึ่งจะเป็นการหดตัว 0.4% และจะเป็นไปตามข้อกำหนดทางเทคนิคของภาวะถดถอยทั่วโลก
ทั้งนี้ รายงานยังระบุด้วยว่า การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก ได้ชะลอตัวลงอย่างมาก และมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงอีกเมื่อประเทศต่าง ๆ ตกอยู่ในภาวะถดถอย
ความกังวลที่เกิดขึ้นขณะนี้ คือ แนวโน้มเหล่านี้ จะทำให้การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจจะมีผลกระทบที่ยาวนาน ซึ่งจะสามารถทำลายล้างผู้คนในตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา
ทั้งนี้ เพื่อให้การควบคุมอัตราเงินเฟ้อทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารโลกแนะนำให้ส่งเสริมการผลิต ด้วยการสร้างการลงทุนเพิ่มเติม และ ปรับปรุงผลิตภาพของการจัดสรรเงินทุน ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการเติบโต และการลดความยากจน มากกว่าลดการบริโภคด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
รายงานยังระบุด้วยว่า ภาวะถดถอยทั่วโลก มีแนวโน้มสูงมากเมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดในอดีตหลายตัว โดยเฉพาะ 3 ประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน และ ยูโรโซน ชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว แม้แต่การกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระดับปานกลาง แต่ในปีหน้าก็อาจนำไปสู่ภาวะถดถอยได้
Ayhan Kose รักษาการรองประธานฝ่ายดูแลการเติบโต การเงิน และสถาบันของธนาคารโลก กล่าวว่า
ปัญหาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด มีความสอดคล้องกันมากเกินไป ทำให้เกิดการตึงตัวทั่วโลก และทำให้การเติบโตทั่วโลกชะลอตัวลง
วิธีการแก้ปัญหา คือ ผู้กำหนดนโยบายควรร่วมมือกัน เพื่อบรรเทาปัญหาคอขวดของอุปทานทั่วโลก ด้วยการการจัดหาแหล่งอาหาร และพลังงาน เพื่อป้อนให้กับทั่วโลก พร้อมทั้ง ควรเร่งการเปลี่ยนผ่านไปยังแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำ เพื่อลดการใช้พลังงาน
ที่มา : Kitco.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.