เมื่อวานนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นทะลุระดับ 1,788 ดอลลาร์ หลังความตึงเครียดทางการเมืองระหว่าง สหรัฐอเมริกา และ จีน ได้ส่อเค้ารุนแรงอีกรอบ
จากกรณี นาง แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนไต้หวัน โดยไม่สนคำเตือนของทางการจีน
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลง และ เริ่มจะถอยห่างจากระดับ 1,800 ดอลลาร์ หลัง นาย ชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานแห่งชิคาโก ระบุ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะใช้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกินขนาดต่อไป จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง
พร้อมมองว่า หากว่าตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น การปรับขึ้นดอกเบี้ย เดือน ก.ย. ที่ระดับ 0.50% เป็นการประเมินที่สมเหตุสมผล แต่หากจะขึ้น 0.75% ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ขณะที่ แมรี่ เดลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวในทำนองเดียวกัน ว่าเรื่องอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหาอยู่ และเฟดจะต้องพยายามทำให้ตัวเลขลดลงมาตามเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย. เร่งตัวขึ้นเป็น 9.1% พร้อมระบุว่า ทิศทางของเฟดยังคงหนักแน่น
ส่วนเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับข้อมูลในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่า เฟดสามารถลดอัตราการขึ้นดอกเบี้ยได้อีกเล็กน้อย หรือ จะสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยแบบรุนแรงต่อไป
ความคิดเห็นของทั้งคู่ เกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูง 2 ครั้ง ติดต่อกัน
ในขณะที่ ประธานเฟดยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งหมายความว่าอาจะจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระดับสูงอีกครั้งในเดือน ก.ย. ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง

เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์อาวุโสของ OANDA กล่าวว่า
ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยหลังที่กดดันราคาทองคำ โดยมองว่า จากการอ่อนตัวของดอลลาร์ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะจบลงแล้ว
โดยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างมาก หลังเจ้าหน้าที่ เฟด ออกมาสนับสนุนกาสรปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ความกังวลเรื่องความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็ยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยหนุนให้เงินดออลาร์แข็งค่ามากขึ้น
ที่มา : Kitco.com