photo by Karolina Grabowska | pexels.com

จับตา FOMC Meeting Minutes อาจทำให้ราคาทองคำผันผวนอีก

ในสัปดาห์นี้ ยังคงมีเรื่องต้องติดตามหลากหลายประเด็น แต่ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้ น่าจะเป็นรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำเดือน มี.ค. หรือ FOMC Meeting Minutes ซึ่งจะเปิดเผยในวันพุธ

ในสัปดาห์นี้ ยังคงมีเรื่องต้องติดตามหลากหลายประเด็น แต่ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้ น่าจะเป็นรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประจำเดือน มี.ค. หรือ FOMC Meeting Minutes ซึ่งจะเปิดเผยในวันพุธ

โดยรายงานดังกล่าว จะมีรายละเอียด และ มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดแต่ละราย ต่อแนวโน้มนโยบายการเงิน และอาจมีรายละเอียดเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผนการลดงบดุล 9 ล้านล้านดอลลาร์ ของธนาคารกลาง

ทั้งนี้ เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 0.25 bp. ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวด เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ

โดยเจ้าหน้าที่เฟดหลายคน รวมทั้ง เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ได้ระบุว่าพร้อมที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น

ทั้งนี้ รายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ที่ประกาศไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อาจจะตอกย้ำเป็นอย่างดีว่า เฟดอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50 bp. ในการประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 4 พ.ค. ซึ่งในสัปดาห์นี้ จะมีคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่เฟดหลายราย อาทิ ประธานเฟดมินนิอาโปลิส, ประธานเฟดนิวยอร์ก และ ประธานเฟดเซนต์หลุยส์

นอกจากนั้น ต้องจับตาตลาดตราสารหนี้อย่างใกล้ชิด

หลังเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ได้พลิกกลับอีกครั้งในวันศุกร์ หลังตัวเลขการจ้างงานแข็งแกร่ง ทำให้คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มากขึ้น

ซึ่งการที่ตัวเลขผลตอบแทนอัตราผลตอบแทนพันธนบัตรระยะสั้น สูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ทั้งนี้ ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะคลายความกังวลว่า นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสงครามในยูเครน อาจทำให้เศรษฐกิจตกต่ำได้ แต่ดูเหมือนว่านักลงทุนพันธบัตรจะมีมุมมองในแง่ร้ายมากกว่า

ประเด็นต่อมา คือ เรื่องความผันผวนของราคาน้ำมัน

หลังน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้วลดลงไปประมาณ 13% ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี หลังจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ประกาศปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ปริมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลาหกเดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค. ซึ่งใหญ่ที่สุดที่เคยปล่อยออกจากคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ปัญหาระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นประมาณ 30% ในไตรมาสแรก ส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการคาดการณ์เงินเฟ้อ แม้ว่าสหรัฐฯ จะพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีการที่กล่าวมาในข้างต้น แต่นักวิเคราะห์ตลาดพลังงานกลับไม่ค่อยเชื่อในความสำเร็จของแผนนี้

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ก็คือ

ดัชนี PMI ภาคบริการของ ISM ในวันอังคาร ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า จะพุ่งแตะ 58.0 หลังจากเดือน มี.ค. ได้ลดลงแตะ 56.5 ต่ำสุดในรอบ 12 เดือน